Tag Archives: บทความคริสเตียน

จริยธรรม

ความหมายของจริยธรรม = ศีลธรรม , ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ จริยธรรม เป็นสิ่งที่มนุษย์บัญญัติขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการประพฤติที่ดี ในขอบเขตที่ดีงามในการดำเนินชีวิตในสังคมนั้นๆ ในพระคัมภีร์กล่าวถึงบทบัญญัติ เพื่อให้เราเดินตามซึ่งมีระบุชัดเจนว่าอะไรถูก อะไรผิด (ลนต. , ฉธบ. , กดว.) ที่ชัดเจนคือบัญญัติ 10 ประการ ต้องถือรักษา ไม่สามารถบิดพลิ้วได้ ประเภทของจริยธรรมที่ต้องเกี่ยวข้อง 1. จริยธรรมขั้นพื้นฐาน (การดำเนินชีวิต) ♥ เป็นข้อปฏิบัติที่คนทั่วๆ ไป ทุกคนต้องผ่าน ♥ หากเป็นคริสเตียน ก็เป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปที่พึงกระทำ ตามหลักการพื้นฐานของพระคัมภีร์ เช่น การให้เกียรติผู้อาวุโส , การไม่พูดโกหก , การไม่ทำร้ายผู้อื่น , การเอื้อเฟื้อต่อผู้ที่อ่อนกำลังกว่า , …. ♥ จริยธรรมพื้นฐาน ย่อมเป็นไปตามที่คนเดินตามพระคัมภีร์สามารถมองเห็นได้โดยทั่วไปว่า เป็นมาตรฐานเดียวกัน 2. จริยธรรมองค์กร (มารยาททางสังคม) ♥ ในแต่ละองค์กร ชุมชน… Read More »

ไม่ใช่ทุกปัญหาคือการโจมตี

มารวนเวียนอยู่รอบกายดุจสิงคำราม 1 ปต.5:8 ท่านทั้งหลายจงเป็นคนใจหนักแน่นจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือพญามาร วนเวียนอยู่รอบ ๆดุจสิงโตคำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ แท้จริงมารคอยวนเวียนอยู่รอบๆ กายเรา เพื่อมองหาช่องว่างของจุดอ่อนที่เรามีอยู่ เมื่อมันโจมตีมันใช้จุดอ่อนเหล่านั้นของเรา ไม่ใช่เพราะเราทำสิ่งใดๆ…. การมีจุดอ่อนเป็นการเปิดช่องโหว่ที่มารมองเห็น ซึ่งหลายอย่างเรามองไม่เห็นหรือแม้แต่ไม่ยอมรับด้วยซ้ำ เมื่อใดก็ตามที่มารซาตานยังคงโจมตีเราได้ แสดงว่าเรายังคงมีจุดอ่อนที่เปิดช่องโหว่ไว้อยู่ สะท้อนให้เห็นว่า เราต้องเร่งปิดช่องโหว่นั้น ด้วยการรับจากพระเจ้า (เยียวยา , ความคิดใหม่ , การสร้างใหม่ , ความรู้ความเข้าใจใหม่ , …) เพื่อให้ช่องโหว่นั้นถูกปิดลง ให้จุดอ่อนนั้นถูกแก้ไข *** มารไม่ได้โจมตีเมื่อเรารับใช้พระเจ้า แต่โจมตีเพราะเรามีจุดอ่อนต่างหาก ส่งผลทำให้  หนีการรับใช้ >> จุดอ่อนก็ยังคงอยู่ แม้ไม่ทำอะไรเลย ก็โดนโจมตีอยู่ดี  สู้กับมัน >> แต่แพ้ เพราะจุดอ่อนยังคงอยู่ แท้จริงพระเจ้าใส่ความล้ำลึกสุดๆไว้ในแผนการณ์พระเจ้าโดยใช้ แม้แต่มารเองในการชี้จุดกลับใจใหม่ให้แก่เรา (แต่คนเรามักมองพระเจ้าผิด เพ่งตรงไปที่มาร ซึ่งมารมันฉลาดหลอกเราให้หลงไปจากความเข้าใจอันแท้จริงของพระเจ้า) >> ดังนั้นทุกครั้งที่เราจะรับใช้ หรือจะทำบางอย่าง… Read More »

สหายเลิศ

การมีเพื่อนเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน เพราะพระเจ้าให้เรามีปฏิสัมพันธ์กันและกัน ตั้งแต่แรกเริ่มในสวนเอเดน… แต่นั่นก็มาหลังจากการมีความสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า พระบิดาทรงสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับพระองค์แล้วจึงสร้างเอวาให้กับอาดัมอีกที แต่หลายครั้งมนุษย์เรียกหามนุษย์ด้วยกันเองมากกว่าเรียกหาพระเจ้า เหตุนี้จึงมีความเหงา โดดเดี่ยว เศร้าและทุกข์ หากต้องอยู่เพียงลำพัง มองไปรอบกายหาใครไม่เจอ แน่นอนว่าเราควรมีเพื่อน และการเลือกเพื่อนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อนดีย่อมส่งผลดีต่อเรา เพราะการได้ใกล้ชิดกันย่อมส่งผลต่อ ทั้งอารมณ์ ความคิด ค่านิยม ความชอบ ไม่ชอบ… แต่พระเยซูทรงปรารถนาให้เรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ในรูปแบบเพื่อนด้วยเช่นกัน ตัวอย่าง อับราฮัม โมเสส ดาเนียล ยอห์น เพื่อนย่อมเปิดเผยสิ่งต่างๆ ให้แก่กัน สามารถสื่อสารความคิดต่อกันและกัน แสดงความคิดเห็นต่อกันและกันด้วยและในขณะแสดงความคิดเห็นจะไม่มีใครถูกผิด มีแต่ยอมรับซึ่งกันและกัน ให้เกียรติกันและกัน สะท้อนสิ่งที่เป็นความคิดและตัวตนภายในของแต่ละฝ่าย เฉกเช่นเดียวกันพระเจ้าก็ปรารถนาจะให้เรามีมุมที่รับรู้ความคิดของพระองค์ และทรงมีมุมที่อยากให้เราแสดงความเป็นตัวเรากับพระองค์ด้วย แน่นอนว่าทรงรู้จักเรา แม้เราไม่พูดอะไร แต่การได้มีอิสระในการแสดงความเป็นตัวตนกับพระองค์ นั่นหมายถึง เราได้ใกล้ชิดและวางใจพระองค์เป็นแน่ น่าเสียดายคนจำนวนมากกลับไม่อยากเป็นเพื่อนกับพระเยซู อาจด้วยวัฒนธรรมบางอย่างที่คิดว่า เพื่อนนั้นต้องระดับเดียวกันเท่านั้น ดูเหมือนจะถ่อมต่อผู้ที่สูงกว่า แต่ก็ใช้โอกาสนี้อ้างเพื่อข่มต่อผู้ที่ด้อยกว่าเช่นกัน และกรณีหากใครมองว่าตนคือผู้ด้อยกว่าก็จะไม่คิดตีสนิทเลยทีเดียว แต่พระเยซูทรงอยู่เหนือกาลเวลาและประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติของชนทุกชาติ เรื่องของความสัมพันธ์ เป็นเรื่องที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวางได้ เว้นเสียแต่การวางตัวอย่างไรของเราเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หลายต่อหลายคนจึงพลาดเพื่อนที่แสนดีไป หรืออาจทิ้งมุมนี้ที่พระเจ้าปรารถนาจะมีต่อเราไป และมอบให้เรามัน ไม่ใช่ความถ่อมเลยสักนิด แต่เป็นกำแพงหนาที่เราตั้งไว้เองต่างหาก… Read More »

การรอคอย

เป็นที่รู้กันอยู่แก่ใจของบรรดาผู้เชื่อว่า เราทุกคนต่างรอคอยวันเวลาที่จะได้กลับสู่สวรรค์สถาน สถานที่นิจนิรันดร ที่เต็มไปด้วยความสุขแท้ชนิดที่ความเศร้าโศกใดๆ ไม่สามารถปรากฏได้ และที่สำคัญที่นั่นเราจะได้อยู่ต่อหน้าบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และในบางเวลาพระเจ้ามักส่งสถานการณ์ต่างๆ ให้เราได้ฝึกฝนวิถีแห่งการรอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์ การรอคอย   1.    เฝ้ารอคอยด้วยใจจดใจจ่อ     การที่คนเราจะใจจดจ่อได้นั้น นั่นหมายถึง สิ่งนั้นต้องมีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริง มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้มาหรือครอบครองซึ่งสิ่งที่รอคอย     การรอคอยนั้นไม่ได้หมดไปวันๆ แต่เป็นการเฝ้ารอคอยด้วยความหวังใจและเชื่อเสมอว่า วันนั้นจะมาถึงโดยเร็ว วันนั้นจะมาถึงในไม่ช้า เป็นความสดชื่นที่หวนระลึกถึงอย่างไม่สั่นคลอน 2.    ไม่รู้วันเวลา     การเฝ้ารอคอยบางอย่างเราก็ไม่รู้วันเวลาเอาเสียเลย ว่ามันจะมาถึงวันไหน? เวลาใด? กันแน่…. แต่เราแน่ใจ มั่นใจในพระองค์ที่เราเชื่อว่า จะทรงมอบให้ ประทานให้เราเป็นอย่างแน่นอน     ซึ่งการเฝ้ารอคอยอย่างไม่รู้วันเวลานี้เป็นการกระตุ้นให้ความเชื่อยิ่งมั่นคงและหนักแน่นมากยิ่งขึ้น เพราะมันเป็นบทพิสูจน์ความวางใจ ความเชื่อใจที่เรามีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา     แน่นอน!! ที่พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่ผิดพลาด ดังนั้นสิ่งที่ทรงสัญญาย่อมจะมาถึงอย่างแน่นอน เพียงแค่เราไม่รู้ว่าวันไหนเวลาใด แต่มันจะมาอย่างกระทันหัน ดังนั้นเรา จึงต้องรอคอยแบบเฝ้าระวัง แบบพร้อมจะรับเสมอ ไม่ว่าจะเวลาใดก็ตาม เมื่อเวลานั้นมาถึง จะไม่มีเวลาสำหรับการจัดแจง การเตรียม หรือยืดเยื้ออีกต่อไป 3.  … Read More »

โลทกับการตัดออกจากบาป

ในนาทีที่โลทต้องเผชิญหน้ากับการช่วยเหลือของพระเจ้าที่มาถึงชีวิตและครัวเรือนของเขา ผ่านคำอธิษฐานของอับราฮัม  … การแยกตัวออกจากถิ่นฐานที่ตั้งมั่นของเขา เพราะเป็นที่ที่เต็มไปด้วยบาปที่ถึงเวลาและวาระแห่งการพิพากษาของพระเจ้ามาถึงแล้ว มากกว่าทรัพย์สินความมั่นคงที่เป็นของเขาและแหล่งทำกินแล้ว เขาจำต้องละสารพัดสิ่งที่พันผูก ไม่ว่าจะเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ญาติพี่น้องในครัวเรือนของเขาเองด้วยซ้ำ แท้จริงครอบครัวของเขามีกัน 10 คน แต่ที่ออกจากโสโดมโกมาราได้จริงๆ มีแค่เพียง 4 คนเท่านั้น… คือ … ตัวโลทเอง ภรรยา และลูกสาวอีก 2 คน ส่วนคนที่เหลือเขาจำต้องทิ้งไว้กับการพิพากษาของพระเจ้า แม้ความเจ็บปวดจะมาถึงจิตใจภายในของเขาและเห็นตำตา รู้เต็มอก ก็ตามที … *** แต่เมื่อถึงเวลาของพระเจ้า หากโลทไม่ก้าวออกมาพระเจ้าก็จะนำเขาออกมา เหตุที่โลทไม่กล้าก้าวเพราะรักและเป็นห่วงญาติที่เหลือไม่ยอมไปด้วย ทำให้การตัดสินใจของโลทลดระดับลงจากที่ควร…  เหตุนี้เองพระเจ้าจึงเข้าแทรกแซงดึงเขาออกมาจากโสโดม  แต่สาเหตุที่ญาติๆ และคนในครัวเรือนที่เหลือของโลทไม่ได้รับการช่วยเหลือนี้จากพระเจ้า เพราะพวกเขาตัดสินใจเองที่จะอยู่กับบาป ปฏิเสธโอกาสและพระหัตถ์แห่งการช่วยกู้ที่มาถึง ผ่านชีวิตของโลทและการวิงวอนของอับราฮัม โลทกับการตัดออกจากบาป 1.    แม้พระเจ้าจะให้โอกาสเพียงใด แต่หากคนนั้นเลือกที่จะอยู่กับบาปและจมอยู่เช่นนั้น ก็ไม่มีใครหรือสิ่งใดจะช่วยได้ เพราะพระลักษณะของพระเจ้าอีกด้านคือ ทรงเข้มงวดกับความบริสุทธิ์ 2.    เมื่อถึงเวลาแห่งการพิพากษาของพระเจ้ามาถึง *** สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นคือ … ออกจากจุดที่เป็นอยู่และห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ ด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้าเราจะสามารถผ่านจุดนั้นมาได้แน่นอน ขอเพียงแค่เรายอมออกจากบาปนั้นก็พอ 3.  … Read More »

บทพิสูจน์ที่ผ่านแล้ว

พระบิดาผู้ทรงขัดเกลาและสร้างเราให้แข็งแกร่งนั้นเป็นอีกหนึ่งความสัมพันธ์ที่พระเจ้าหยิบยื่นให้กับบุคคลที่แสวงหาการเติบโตและก้าวไปอย่างไม่รู้จักพอ อยากและปรารถนาจะเรียนรู้จักพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้น แน่นอนว่าชีวิตของเราแต่ละคน ย่อมต้องผ่านบทพิสูจน์ต่างๆ มากมาย และการพิสูจน์ตนเองว่าเป็นที่ใช้การได้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เวลาเหล่านั้น คือ ช่วงเวลาที่ไม่มีมนุษย์คนใดโปรโมท ไม่มีใครให้การสนับสนุน ตรงข้ามกัน… กลับมีแต่เสียงคัดค้าน… *** แต่มีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่ชัดเจนหรืออาจแผ่วเบาคือ เสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า*** มนุษย์น้อยคนนักที่จะมองจากภายใน หรือบางเวลาอาจหาไม่เจอเลยด้วยซ้ำ คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มองภายนอก มองสิ่งที่ตาเห็น ประเมินจากความคิดและจินตนาการของเขาเองว่า… มันควรเป็นเช่นไร มันน่าจะเป็นอย่างไร เอาประสบการณ์ตนเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งก็น้อยคนเหลือเกินที่จะนั่งลงพิจารณาอย่างถี่ถ้วน รอบด้าน หรืออธิษฐานถามพระเจ้าว่า “สิ่งที่เห็นในผู้อื่นนั้นคือสิ่งใด” เป็นไปได้ว่าพระเจ้าอาจกำลังทำบางอย่าง แต่ก็นั่นแหละ เราต่างก็เคยเป็นทั้งผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์และผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยกันทั้งนั้น ในสังคมทั่วไปการพูดเพื่อโต้แย้งหรืออธิบายดูจะเป็นทางออกที่ดี แต่ในทางกลับกัน พระเจ้ามักปรารถนาให้เราพิสูจน์ชีวิตเสียมากกว่า เพราะบทพิสูจน์มักทำลายคำครหาโดยสิ้นเชิง กว่าจะผ่านในแต่ละช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ชีวิตได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก ความเชื่ออย่างสูง เราต้องยึดเสียงของพระเจ้าไว้และเดินตามไปทีละก้าวๆ เพราะการพิสูจน์ชีวิตย่อมต้องใช้เวลา บางบทพิสูจน์อาจใช้เวลาแค่ 1 ปี , 3 ปี , 5ปี … หรืออาจตลอดชีวิตก็เป็นได้  ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเราและแผนการณ์ของพระเจ้า   บทพิสูจน์ที่ผ่านแล้ว แท้จริงเมื่อเราจดจ่อในการเดินกับพระเจ้า การพิสูจน์ชีวิตจะเริ่มเปลี่ยนมุมมองทัศนคติ… Read More »

คำอธิษฐาน‬ : ‪ขอทรงซ่อนข้าไว้‬

‎“♣ ข้าแต่พระเจ้า…. ♣ ขอทรงซ่อนข้าพระองค์ไว้ … ใต้ปีกแห่งพระคุณอันแข็งแกร่งของพระองค์ ♣ ขอทรงซ่อนไว้ … ใต้ร่มเงาแห่งความรักอันแสนชื่นใจ ให้ได้พักพิงนิ่งสงบ ♣ ขอทรงซ่อนไว้ … ในเกราะกำบังอันเข้มแข็ง ไม่มีใครหรือสิ่งใดอาจทำลายได้ ♣ ขอทรงซ่อนไว้ … ในพระสิริ ทอสาดแสงทะลวงใจ ความหวังใหม่ ♣ ขอทรงซ่อนไว้ … อย่างมิดชิดเพื่อพระองค์แต่นามเดียว ♥ พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ธรรมและเที่ยงตรง…. ♥ ขอทรงปกคลุมข้าพระองค์ให้มิดจากสายตาของศัตรู ♥ ขอทรงเก็บซ่อนไว้ให้ห่างจากการมุ่งร้าย และปองร้าย ♥ ขอทรงแอบซ่อนไม่ให้ความชั่วร้ายค้นหาข้าพระองค์เจอ… ทั้งจากคน สถานการณ์ วิญญาณชั่ว ♥ ขอทรงปิดไว้ให้พ้นจากแผนการณ์อันคดโกง และแย่งชิง ♠ โอ้…. พระองค์เจ้าข้า ♠ เมื่อข้าพระองค์ซ่อนตัวในพระองค์ … ♠ ขอทรงลุกขึ้นต่อสู้ : ขับไล่ ทำลาย ทุกสิ่งที่มุ่งร้าย ♠ ขอทรงโอบกอด… Read More »

ความบริสุทธิ์ที่ต้องรักษา

เพราะพระนามพระเจ้าทรงบริสทุธิ์ และด้วยพระลักษณะนี้เอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทรงเรียกเราทั้งหลายเข้าสู่ความบริสุทธิ์ของพระองค์ และเมื่อความบริสุทธิ์เข้าปะทะร่างกายบาป กายเนื้อหนังจึงมีอาการต่างๆ เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ภายในเราเป็นทั้งกระบวนการและการสำแดงของพระเจ้าในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรความบริสุทธิ์นั้นก็ช่างประเสริฐและล้ำค่าเสียจนกายเนื้อหนังที่ปรารถนาจะรับยังคงต้องสั่นเทาและรับผลกระทบทุกครั้ง ยิ่งบริสุทธิ์มากเพียงใด การรับยิ่งต้องถูกขยายขนาดมากเพียงนั้น ผู้ที่เห็นคุณค่าและรู้ค่าของความบริสุทธิ์ที่พระเจ้ามอบให้และกระทำในชีวิตเราเป็นประสบการณ์ตรง ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม มักจะต้องดำเนินชีวิตเพื่อรักษาความบริสุทธิ์นี้ให้ยั่งยืนต่อไปในชีวิตของตน แน่นอนบางคนอาจถูกเรียกร้องสิ่งต่างๆ แท้จริงการเรียกร้องจากพระเจ้าเพื่อความบริสุทธิ์เกิดขึ้นได้กับทุกคน แม้จะแตกต่างในแต่ละเรื่องที่ทรงเรียกร้อง นั่นขึ้นอยู่กับของประทานและการทรงเรียก รวมถึงลักษณะชีวิตทั้งจุดอ่อนแข็งของเราเป็นองค์ประกอบ เพราะพระองค์ทรงสัพพัญญูรู้ทุกวิถีทางทั้งชีวิตของเรา คนที่ปล่อยปละละเลยในการรักษาชีวิตตามการเรียกร้องนั้น..ความบริสุทธิ์จะเป็นเพียงแค่ประสบการณ์หนึ่งของชีวิตเท่านั้นแทนที่จะเป็นคุณลักษณะแท้ของชีวิตเขา เนื่องจากเราอยู่บนโลกที่แวดล้อมไปด้วยบาปที่ล่อลวงและหลายๆครั้งมนุษย์นี่แหละก้าวเข้าสู่บาปด้วยความเต็มใจเอง ดังนั้นหากไม่รักษาความบริสุทธิ์ไว้ก็ไม่อาจต้านทานความบาปเหล่านั้นได้ ความบริสุทธิ์ที่ต้องรักษา ความบริสุทธิ์มักแยกเราออกจากบาปด้วยวิถีทางต่างๆ ทั้งการดำเนินชีวิต ความคิด ค่านิยม ความรู้ความเข้าใจ การเลือกปฏิบัติตนเพื่อดำรงชีวิตบนโลก อีกทั้งทุกสิ่งเหล่านี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า… พระเจ้าไม่ทรงมีน้ำพระทัยในเราเกลือกกลั้วกับบาปเป็นที่แน่แท้ แม้เราจะอยู่บนโลกก็ตาม ถ้าเช่นนั้นการไถ่ของพระเยซูบนกางเขนจะเกิดขึ้นเพื่ออะไร… พระบิดาทรงยอมมอบพระบุตรไว้บนกางเขนเพื่อนำเรากลับสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ นั่นคือ ลบล้างบาปและชำระเราให้บริสุทธิ์ แยกเราออกจากบาปและวิถีที่นำไปสู่ความตาย  กระบวนการต่างๆ เสร็จอย่างสมบูรณ์แบบบนกางเขนด้วยฤทธิ์อำนาจของโลหิตของพระเยซูเพียงพอที่จะชำระเรา แต่ด้วยกระบวนการสร้างชีวิตของเรา พระองค์ไม่ได้นำเราออกจากโลกที่เต็มไปด้วยบาป แต่ทรงยังคงให้เราอยู่บนโลกนี้ต่อไป ดังนั้นการรักษาความบริสุทธิ์จึงสำคัญยิ่งๆ ยวด ปุโรหิตต้องติดกระพรวนลูกโตไว้ที่ชายเสื้อจำนวนมากเพื่อส่งเสียงดัง … เมื่อใดที่เสียงกระพรวนนั้นเงียบลงแสดงว่าเขาได้ตายเพราะบาปเสียแล้ว เมื่อพระเยซูทรงไถ่เราทั้งหลายที่กางเขน ม่านในวิหารขาดจากบนจรดปลาย เพื่อเปิดประตูออกให้เราก้าวเข้าสู่อภิวิสุทธิสถานด้วยตัวเอง ไม่ต้องผ่านผู้ใดอีกต่อไป เราจึงได้รับเกียรตินี้จากพระเจ้าพระบิดา โดยผ่านพระโลหิตแห่งการไถ่ของพระเยซู และผ่านพระองค์เองนั้น ความบริสุทธิ์ได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิต นั่นหมายถึง… Read More »

โยบกับการถวายเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อคนในครัวเรือน

โยบ 1:5  และเมื่อการเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะใช้ให้ไปทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องเผาบูชาตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า “บางทีบุตรชายของข้าพเจ้าได้กระทำบาป และแช่งพระเจ้าอยู่ในใจของเขา” โยบกระทำดังนี้เรื่อยมา โยบเป็นคนดีพร้อมต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตระหนักและรู้ดีเสมอว่า แม้เขาจะรักษาชีวิตของเขาได้อย่างดี แต่คนในครัวเรือนเขาก็สำคัญต่อพระพรของพระเจ้าที่จะเทลงมาอย่างเต็มขนาดในครัวเรือนของเขา แน่นอนการรักษาชีวิตส่วนตัวย่อมนำพระพรมาถึงตามขนาดที่ตนเองรักษาอย่างแน่นอน แต่หากครอบครัวได้รักษาชีวิตในทิศทางเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในการรักษาชีวิตทั้งครัวเรือน พระพรแห่งครอบครัวจะเทลงมาด้วยเป็นอีกชั้นหนึ่ง โยบรู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก เขาจึงต้องถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าในทุกวัน ไม่ใช่แค่เพียงของตนเอง แต่ของทุกคนในครอบครัวด้วย สิ่งที่โยบทำไม่เพียงสะท้อนให้เห็นว่าเขาสนใจ เอาใจใส่ ในการรักษาความบริสุทธิ์นี้เสมอ แต่ยังสะท้อนด้วยว่า เขาเกรงว่าใครสักคนในครอบครัวจะทำผิดบาปต่อพระเจ้าของเขา การถวายบูชานั้นสามารถทำแทนกันได้ในระดับหนึ่ง เพราะเป็นตัวแทนในครอบครัว แต่ถึงกระนั้นการกลับใจก็ไม่สามารถทำแทนกันได้เลย แม้เขาจะรู้เรื่องนี้ก็ตาม แต่การถวายบูชานั้นก็ยังคงช่วยเรื่องการชำระบาปและเป็นการสำรวจครัวเรือนเสมอๆ เป็นการยื่นคำร้องและแสดงตนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า อย่างน้อยที่สุด …..    “โปรดเห็นแก่ข้าพเจ้า, โปรดเห็นแก่เครื่องบูชาที่ข้าพเจ้าได้ทำเพื่อพวกเขา, โปรดชำระและอย่ารื้อคดีความเก่าๆ ที่ผ่านเลยไปแล้วเลย,……”   โยบกับการถวายเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อคนในครัวเรือน   1.    เป็นที่แน่นอน เมื่อเรารู้บาปของเรา เราสามารถกลับใจเองได้ จัดการตัวเองได้ แต่หากเป็นคนอื่นโดยเฉพาะคนในครอบครัวที่เรารักยิ่งนัก เราไม่สามารถกลับใจแทนเขาได้ บังคับเขาให้เปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ นี่คือความทุกข์อย่างมากที่ผู้รักษาชีวิตต้องเผชิญกับสิ่งที่รู้และเห็นกับตา 2.    แม้เราไม่สามารถทำการกลับใจใหม่แทนคนในครอบครัวของเราได้ แต่อย่างน้อยเราก็สามารถสารภาพบาปผิดแทนเขาได้ ซึ่งเป็นอีกวิธีในการแสดงออกถึงการมอบถวายครอบครัวให้กับพระเจ้าแบบไร้มลทิน… Read More »

แสนเนิ่นนานเหลือเกิน

ระหว่างเส้นทางเดินสู่จุดหมายที่แสนยาวไกลกับชัยชนะในการปล้ำสู้ บางครั้งเราเห็นพระพรเทลงมาเพียงน้อยนิด อาจทำให้เข้าใจว่าผ่านแล้ว… แต่………………. ? ทำไมยังวนเวียนอยู่ (ที่เดิมๆ) หรือ ? เป็นแบบแว่บๆ แทนความมั่นคงที่เกิดขึ้น แท้จริงยังไม่ผ่าน >>> เพราะหากเราชนะจริง มันจะผ่านแบบมั่นคง ไม่ใช่แค่ชั่วครั้งชั่วคราวแต่จะกลายเป็นธรรมชาติชีวิตใหม่ เป็นสิทธิอำนาจ และลักษณะชีวิตให้จนกลายเป็นพื้นฐานสู่ก้าวต่อไปของชีวิตเรา แสนเนิ่นนานเหลือเกิน เนื่องจากพระลักษณะพระเจ้ามีพระคุณและรักเรา พร้อมที่จะให้กำลังแก่เราในการก้าวไปแต่ละก้าว การอวยพรของพระเจ้าจึงมีแก่เราเป็นระยะๆ เพื่อให้เรามีกำลังและรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วยตลอดเส้นทาง ไม่เพียงแค่ปลายทางเท่านั้น แต่ระหว่างทาง พระพรยิบย่อยก็ส่งมาให้เราอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งยังเป็นตัวชี้แนวทางเสมือนป้ายบอกทางให้กับเราว่ามาถูกทางหรือเปล่าด้วย… และแน่นอนว่าหากระหว่างทางพระพรยังมากมายไม่ขาดสายแล้ว ปลายทางยิ่งมากกว่าเป็นร้อยเท่า  หากใครไปถึงย่อมได้รับเป็นแน่ และเส้นทางนั้นเป็นเส้นทางเฉพาะเจาะจงถึงเราแต่ละคนด้วย *** ระวังอย่าหลงไปเดินเส้นทางของผู้อื่น เพราะปลายทางนั้นก็มีไว้สำหรับเจาะจงแต่ละคนด้วยเช่นกัน หากเดินในเส้นทางของผู้อื่น แม้เดินไปจนสุดปลายทางก็ไม่มีของๆ เราเตรียมไว้ที่นั่น ด้วยสายตาอันแสนสั้นของเรา อาจคิดว่า… ? ทำไมแสนเนิ่นนานเหลือเกิน ? เมื่อไรหนอจะจบเสียที แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ในอนาคตของเรา ทรงสัพพัญญู จึงทำการเพาะบ่มชีวิตเราในช่วงเวลานี้เพื่ออนาคต เมื่อถึงวันนั้นเราจะสามารถรับพระพรอย่างเต็มขนาด หากเราผ่านไปด้วยกระบุงอันน้อยนิดที่ถือติดมือไปแบบรั่วๆ เมื่อถึงเวลาแห่งการตักตวงพระพร เราอาจอยากกลับมาที่จุดแห่งการเพาะบ่มอีกครั้งก็เป็นได้… แต่คนที่อดทนจนถึงที่สุดย่อมอิ่มปริ เมื่อถึงเวลาแห่งการตักตวงพระพรด้วยภาชนะที่อยู่ในมือนั้นใหญ่มากพอและทนทานพอที่จะเก็บพระพรนั้นไว้กับตัวนานแสนนาน   09/12/2013 12:03… Read More »