Tag Archives: ข้อคิดเพื่อการติดตามพระเจ้า

มารคัดลอกวิธีการของพระเจ้า

เมื่อมารซาตานใช้วิธีการของพระเจ้า หรือแอบอ้างนามของพระองค์… พระเจ้ายังคงสำแดงสัจจะของพระองค์ต่อไป หาได้เปลี่ยนวิธีการเพื่อหลีกทางให้มารอย่างเต็มรูปแบบ ของปลอมจะถูกเขี่ยทิ้งเมื่อของแท้ ของจริงปรากฏ…. แน่แหละ บางครั้งคนอาจดูไม่ออก แยกไม่ออก เพราะมันเหมือนหรือคล้ายกันมาก เว้นเสียแต่คนที่ชำนาญเท่านั้นที่ดูออกว่าแท้หรือปลอม แต่เมื่อใดที่ของทั้ง 2 อยู่ด้วยกัน เมื่อนั้นของปลอมจะถูกทิ้งไป เพราะมันไม่เพียงด้อยค่า แต่มันไม่มีค่าเลยด้วยซ้ำ คนไม่มีเงิน ก็ไม่แปลกที่จะสวมใส่ของปลวม … แต่คนมีเงินไม่แม้แต่จะถูกดึงสายตา เขาทุ่มไปที่ของแท้…. ชีวิตคนก็เช่นนั้น … ยามไม่รู้ , ยังไม่โตพอ , ยังไม่เข้าใจ , มีทางเลือกไม่มาก …ก็ย่อมใช้ประโยชน์จากของปลอม เพราะต้นทุนต่ำ สามารถครอบครองได้ง่ายๆ… แต่เมื่อใดที่เขาโตขึ้น , มีศักยภาพมากขึ้น , สามารถแยกแยะจริงแท้ออกจากหลอกลวงได้ … เมื่อนั้นเขาจะละทิ้งของปลอมเอง ของแท้ >> ไม่เปรียบเทียบ ไม่แข่งขัน … เพราะคุณค่าในตัวมันสูงส่ง แต่ของปลอม >> มักแข่งขัน เปรียบเทียบ ตลอดเวลา … ด้วยว่ากลัวไม่เหมือน พยายามสร้างคุณค่าในตัวเอง… Read More »

เรื่องของคนต้นคนปลาย

– เด็กที่มีพัฒนาการดีขึ้น .. ย่อมดีกว่า .. ผู้ใหญ่ที่ถดถอยลง – คนเล็กน้อยที่ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้น .. ย่อมน่าภาคภูมิใจกว่า .. คนใหญ่โตที่ถอยหลัง– คนทำอะไรไม่เป็น ที่มีพัฒนาการมากขึ้น .. ย่อมชื่นใจกว่า .. คนเก่งกาจที่ถอยหลังลงเรื่อยๆ หรือ หยุดการพัฒนา– เต่าที่ค่อยๆ คลาน .. ย่อมได้รับชัยชนะกว่า .. กระต่ายที่แอบหลับ คนต้นในวันนี้ หากละทิ้ง และ เกียจคร้าน ก็ย่อมถดถอย .. แม้อยู่กับที่ แต่ก็สามารถถูกแซง เพราะความเพียรอย่างไม่ลดละของคนสัตย์ซื่อคนปลายในวันนี้ อาจกลับกลายเป็นคนต้น ในสักวันก็เป็นได้ หากยังคงสัตย์ซื่อไม่ลดละ   เรื่องของคนต้นคนปลาย   1. รักษาระยะของตน ไม่หยุดนิ่ง ไม่ถอยหลัง ไม่เลิกรา 2. พากเพียร สัตย์ซื่อในทางของตน สิ่งเล็กน้อยจะค่อยๆ เติบโตขึ้น ทั้ง ความรู้ ,… Read More »

ถั่วแดงของเอซาว

เอซาวผู้เป็นพี่มีต้นทุนชีวิตที่สูงกว่าน้องตรงที่เป็นที่โปรดปรานของพ่อ ผู้ที่กำการอวยพรเพื่อส่งต่อไว้ในมือ เอซาวมีลักษณะพื้นฐานที่สมควรได้รับสิ่งต่างๆ เป็นต่ออยู่แล้ว แต่เนื่องจากคุณสมบัติหลายๆ ประการที่ทำให้เขาละทิ้งสิ่งที่อยู่ในมือแล้วแท้ๆ ดังเช่น คำอวยพรของพ่อ หลุดหายไป เพราะการไม่เห็นคุณค่า เขายินดีละทิ้งสิ่งที่อยู่ในมืออันล้ำค่าอย่างหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ คือ สิทธิบุตรหัวปี ยอมแลกได้ด้วยถั่วแดงเพียงถ้วยเดียว แม้ความหิวจะเป็นเหตุผลที่ดูเหมือนดี เข้าใจได้และน่าเห็นใจ แต่การละทิ้งอย่างไร้เยื่อใย อารมณ์โมโหที่พุ่งขึ้นสะท้อนถึงความต้องการของเนื้อหนัง การยอมทิ้งอะไรก็ได้เพื่อระงับความต้องการของเนื้อหนัง ไม่ได้เป็นคำตอบที่ดีของชีวิตในก้าวต่อๆ ไป เมื่อเขากินอิ่มและหายหิวแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกเอาสิทธิบุตรหัวปีกลับคืนมาได้ เพราะสิทธินี้ไม่ได้เป็นสิ่งของ แต่เป็นตำแหน่งที่พระเจ้าทรงมอบให้และตั้งไว้ให้ การปฏิเสธและละทิ้งก็เป็นการหันหลังให้โดยสมบูรณ์แล้ว ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นลักษณะชีวิตและนิสัยของเอซาวจริงๆ ที่ไม่ค่อยเห็นคุณค่าในพระเจ้า หรือสิ่งที่พระเจ้าให้ แน่นอนว่า หากเป็นความผิดพลาดของมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงตรวจสอบจิตใจภายใน ย่อมตรวจค้นเจอเป็นแน่ เพราะพระเจ้าทรงพระคุณและมีเมตตาอย่างเกินความเข้าใจอันเล็กน้อยและจำกัดของมนุษย์ พระเจ้าทรงมองดูและเพ็งดูจิตใจภายใน แม้หลายต่อหลายครั้ง หลายต่อหลายด้าน แลดูแล้วด้อยกว่า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพระเจ้า แต่กลับเป็นหนทางที่พระองค์จะช่วยกู้คนที่รักดี ปรารถนาและหิวกระหาหายพระเจ้า ดังเช่น ยาโคบ ความสัตย์ซื่อในแต่ละวันของการดำเนินชีวิตของยาโคบดำเนินไปอย่างเรื่อยๆ งานของเขาดูเล็กน้อยจิ๊ดริดในสายตาคนอื่นๆ ช่วยแม่ทำงานบ้านทั้งที่เป็นผู้ชาย ทำอาหารเข้าครัว แทนการออกไปล่าสัตว์ อย่างที่ชายฉกรรจ์ทั่วๆ ไปอันทรงเกียรติทำกัน แต่สิ่งที่เขาทำหาใช่สิ่งที่พระเจ้าประเมินว่าต่ำต้อย การเยี่ยมเยียนและโอกาสของเขามาถึงเมื่อพระเจ้าทรงลุกขึ้นเคลื่อนไหว ถั่วแดงในมือสามารถทำให้เขาได้รับสิ่งที่ปรารถนาและเฝ้าใฝ่ฝันมาตลอดชีวิตที่ไม่มีทางเป็นไปได้ คือ… Read More »

พระเยซูกับศักเคียส

ลก.19:1-10 19:1 ฝ่ายพระเยซูจึงเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและกำลังจะทรงผ่านไป 19:2 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส ผู้ซึ่งเป็นนายด่านภาษีและเป็นคนมั่งมี 19:3 ศักเคียสพยายามจะดูให้เห็นพระเยซูว่าพระองค์เป็นผู้ใด แต่ดูไม่เห็นเพราะคนแน่น ด้วยเขาเป็นคนเตี้ย 19:4 เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อจะได้เห็นพระองค์ เพราะว่าพระองค์จะเสด็จไปทางนั้น 19:5 เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสแก่เขาว่า “ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าเราจะต้องพักอยู่ในบ้านของท่านวันนี้” 19:6 แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความปรีดี 19:7 เมื่อคนทั้งปวงเห็นแล้วเขาก็พากันบ่นว่า “พระองค์เข้าไปพักอยู่กับคนบาป” 19:8 ฝ่ายศักเคียสยืนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ดูเถิด พระองค์เจ้าข้าทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถาครึ่งหนึ่งและถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์ยอมคืนให้เขาสี่เท่า” 19:9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงครอบครัวนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย 19:10 เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด” การเสด็จมาของพระเยซูนำความตื่นเต้นให้กับเมืองเยรีโคอย่างมาก ใครต่อใครก็อยากเจอพระเยซู อยากอยู่ใกล้พระองค์ ศักเคียสชายผู้มากด้วยผู้คนชิงชัง เพราะอาชีพที่เบียดบังคนอื่น นายด่านเก็บภาษี ชายคนนี้ก็อยากพบเจอพระเยซูเหมือนๆ กับคนอื่นๆ ด้วยความจำกัดด้านกายภาพ (ตัวเตี้ย) ไม่เป็นอุปสรรคในการทำให้เขาเลิกราความอยากรู้อยากเห็น ความปรารถนาอยากจะพบพระเยซูผู้เลื่องลือสักครั้ง อีกทั้งคนจำนวนมากต่างเบียดเสียดกัน เขาจึงปีนต้นมะเดื่อขึ้นไปหวังเพียงพบพระเยซู แต่ไกลๆ ก็ยังดี ได้เห็นเป็นเป็นขวัญตาก็พอใจแล้ว (ข้อ… Read More »

คุณสมบัติคัดเลือก

ทุกตำแหน่งทุกงานย่อมต้องมีคุณสมบัติเป็นตัวตั้ง เพื่อเป็นตัวกรองคุณภาพเข้าข่ายในส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะการเริ่มต้น เมื่อคุณสมบัติเบื้องต้นผ่านก็สามารถเริ่มต้นได้ดี ในขณะที่ระหว่างทางความเข้นข้นย่อมมากขึ้น เพื่อเป็นตัวชี้วัดความเหมาะสมในตำแหน่งที่ยืน และพัฒนาไปต่ออีกขั้น คนที่สามารถพัฒนาคุณสมบัติของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมมีโอกาสที่จะไปต่อ และพัฒนาในลำดับขั้นต่อไป แต่คนที่ไม่พัฒนาคุณสมบัติของตนเองก็จะหยุดยั้งอยู่ที่เดิม หรือจุดสูงสุดของความสามารถเดิม ภาพ : การเดินผ่านเขตแดน หรือห้องแต่ละชั้น เข้าไปเรื่อยๆ คุณสมบัติเหล่านี้จะเป็นตัวยืนยันถึงความเหมาะสมและคู่ควรของเราในตำแหน่งและจุดที่ยืนนั้น ซึ่งแต่ละงาน แต่ละด้าน แต่ละตำแหน่ง ย่อมมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคือ ยืนอยู่ในที่ๆ ตรงกับคุณสมบัติของเรา หากเราถูกตั้งให้ยืนอยู่ในตำแหน่งหนึ่ง วันหนึ่งเราจะรู้ว่าคุณสมบัติเหล่านี้ได้เลือกให้เราอยู่ต่อไป หรือไม่ใช่ที่ของเรากันแน่ ซึ่งเรียกว่า “คุณสมบัติคัดเลือก” ด้วยคุณสมบัติจะค่อยๆ คัดเลือกคนเองจากสิ่งที่ทำว่า เขาควรอยู่หรือไป ตำแหน่งใด แค่ไหน ใช่หรือไม่   คุณสมบัติคัดเลือก    1. เมื่อเริ่มต้นคุณสมบัติเบื้องต้น อาจจะเพียงพอสำหรับการเริ่มต้น แต่ต่อไปเรื่อยๆ การพัฒนาตามลำดับขั้นเป็นเรื่องปกติที่ต้องมี เพราะคนเราจำเป็นต้องโต ตัวอย่างเช่น :: การผ่านสัมภาษณ์งาน เมื่อเริ่มต้นคุณสมบัติเพียงพอจะเข้าร่วมองค์กร แต่เมื่ออยู่ในองค์กร ก็มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อย่างเจาะจงมากขึ้น หากทำไม่ได้ หากไม่พัฒนา… สุดท้ายก็ต้องออกไปจากงานนี้ เพราะคุณสมบัติไม่ถึง… Read More »

การหมักบ่ม

การหมักบ่มจำเป็นต้องรอให้ได้ที่ด้วยวันเวลาและอุณหภูมิ หากเปิดฝาภาชนะที่ปิดไว้เพื่อการหมักบ่มก่อนเวลาอันควร มันจะทำให้เสียรสชาติและคุณภาพ บ้างก็ต้องทิ้งเสียเนื่องจากยังไม่ได้ที่จึงใช้ไม่ได้ วันเวลาของพระเจ้ามีความหมายเสมอ ทรงหมักบ่มจนกว่าชีวิตเราจะสามารถใช้การได้ หากเร่งรีบก่อนเวลาของพระเจ้าจะทำให้ใช้การไม่ได้จริง ไม่ยั่งยืน   เราไม่มีความจำเป็นต่องรีบร้อน หากพระเจ้าไม่ได้รีบเร่งในตัวเรา มันจะถึงเวลาและวาระของเราเป็นแน่ แต่หากไม่ใช่… การออกตัวก่อนที่พระเจ้าจะเคลื่อนย่อมนำความบิดเบี้ยวไปจากน้ำพระทัยพระเจ้า หากยังพอนำกลับมาหมักบ่มต่อจนถึงเวลาได้ก็ไม่ส่งผลเสียอันใด นอกเสียจากการบทเรียนที่ต้องเรียนรู้ … แต่หากต้องทิ้งเสียแล้วเริ่มใหม่ ก็เป็นการเสียเวลายิ่งนัก *** อย่าเร่งรีบหากพระเจ้าไม่รีบเร่ง เพราะการรับรองเป็นของพระเจ้า อยากได้รับการรับรอง ต้องอดใจรอจนกว่าจะถึงเวลาที่ทรงเคลื่อนจริงๆ   ในแต่ละวาระเวลาย่อมมีคุณค่าและประโยชน์ของมันอย่างลงตัว การเรียนรู้ที่จะอยู่ในเวลาของพระเจ้าจึงส่งผลดีต่อชีวิตคริสเตียนเป็นแน่แท้   07/06/2014 12:13    

ย้อนกลับ

บางคนได้แล้ว กลับละทิ้ง บางคนมีแล้ว แต่กลับยอมละทิ้งทั้งสิ้น หารู้ไม่ว่าเป็นการย้อนกลับไปยังจุดเดิมๆ การปล้ำสู้เพื่อให้ได้มาแต่ละสิทธิอำนาจ หมายถึง กาต่อสู้กับเนื้อหนัง จุดอ่อน และหนามของตนเอง จนกระทั่งหันและดึงสายตาของพระเจ้ามาที่ตน ในเรื่องนั้นๆ เพื่ออวยพร.….. เป็นการต่อสู้แม้แต่ความดื้อรั้นของตนเองที่ต่อสู้พระเจ้า ความหยิ่งผยอง จนในที่สุด ก็ได้พบพระเจ้า ได้รับการสัมผัสแตะต้อง จนกระทั่งรู้เป็นแน่แท้ว่าสู้พระเจ้าไม่ได้ กายยอมจำนนจึงเกิดขึ้น >> การอวยพรของพระเจ้าจึงมาถึงด้วยเหตุแห่งการจำนนนี้ ปฐก.32:24-27 32:24 และยาโคบอยู่แต่ผู้เดียว และที่นั่นมีบุรุษผู้หนึ่งมาปล้ำสู้กับเขาจนเวลารุ่งสาง 32:25 และเมื่อพระองค์เห็นว่าพระองค์จะเอาชนะเขาไม่ได้ พระองค์จึงถูกต้องที่เบ้ากระดูกต้นขาของเขา และเบ้ากระดูกต้นขาของยาโคบก็เคล็ด เมื่อเขาปล้ำสู้กับพระองค์อยู่นั้น 32:26 และพระองค์ตรัสว่า “ปล่อยให้เราไปเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว” และเขาพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้พระองค์ไป นอกจากพระองค์จะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” 32:27 และพระองค์ได้ตรัสกับเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร” และเขาพูดว่า “ยาโคบ” แต่พอนานวันเข้า ซ้ำร้ายบางครั้งผ่านไปแค่เพียงชั่วครู่ ก็กลับหลงลืมสิ่งเหล่านั้นที่ได้มา ยอมละทิ้ง เพื่อแลกกับสิ่งที่ไม่คู่ควร – ตำแหน่ง – ความอยากได้ – การยอมรับ – ความไม่รู้อันอ้างไม่ขึ้น… Read More »

การเจิมของสาวก

สาวกมีสิทธิอำนาจที่พระเยซูมอบให้ ก่อนที่พระเยซูจะปล่อยสาวกออกไปประกาศ หรือ ไปรับใช้ … ทรงสอน , สร้าง และ เจิมแล้ว = นั่นหมายถึง “เขาไปในนามพระเยซู =  สิทธิอำนาจที่พระเยซูรับรอง และ ติดตามไป” เหตุใดพระเยซูจึงตรัสว่า “คนในยุคนี้ช่างมีความเชื่อน้อยเหลือเกิน” ผู้คนคิดว่า .. สาวกไม่มีความสามารถรักษาโรค หรือ ขับผีได้ ซึ่งแท้จริง เขาไม่รู้ และ ไม่เชื่อ เรื่องการเจิมของพระเยซูที่อยู่เหนือสาวกแล้ว .. เขามองว่า พระเยซูมีความจำกัดด้านมิติต่างๆ เขาไม่เชื่อว่าการเจิม และ การติดตามของสิทธิอำนาจของพระเยซูจะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงคิดว่า “สาวกไม่มีทางทำได้” *** แท้จริงสาวกเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเฉกเช่นเดียวกับเราทุกคน แต่เพราะการเจิม และ ฤทธิอำนาจของพระเยซูที่ไม่จำกัดด้วยรูปแบบ , เวลา , มิติ , สถานที่ ,… ดังนั้น สาวกจึงทำสิ่งต่างๆ ได้ โดยการยอมให้พระองค์ทำผ่าน เท่าๆ กับผู้ได้รับจากพระเยซูเองโดยตรง… Read More »

รากของการไม่เชื่อฟัง

1. การไม่สามารถไว้วางใจพระเจ้าได้ = ขาดความเชื่อ – ผู้ที่ไม่สามารถวางใจพระเจ้าได้ จะยินดีเชื่อฟังพระองค์ได้อย่างไร ?? ดังนั้นสิ่งที่เราจำเป็นต้องถูกสร้างให้มั่นคงก่อน การเชื่อฟัง คือ ความไว้วางใจในพระเจ้า เราจะสามารถวางใจพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อ … >> มีความสัมพันธ์ที่แนบสนิทกับพระองค์เป็นอย่างดี เราสนิทกับใครก็ย่อมวางใจคนนั้นได้อย่างง่ายดาย – ในขณะที่ยังไม่สามารถวางใจได้ สิ่งสำคัญคือความเชื่อ การเชื่อในบุคคลนั้นๆ ย่อมทำให้เราสามารถละความกังวลและคลายปมลง เช่นเดียวกับผู้ที่เชื่อในพระลักษณะพระเจ้าว่า “ทรงเป็น…” ในชีวิตย่อมทำให้คลายจากสิ่งที่บีบรัดลง และสามารถสร้างความวางใจได้มากขึ้น – เป็นที่แน่นอนว่ายิ่งผู้ที่เติบโตในความเชื่อมากเท่าไร ยิ่งมีความวางใจในพระเจ้าได้มากเท่านั้น , ยิ่งผู้ที่มีความสัมพันธ์แนบสนิทกับพระองค์มากเท่าไร ความเชื่อวางใจยิ่งมากเท่านั้น และต้นสายของความเชื่อวางใจคือความสัมพันธ์ที่แนบสนิทกับพระองค์ เป็นตัวแปรที่ผันตามกันโดยตรง   2. ดูหมิ่นพระเจ้า – ผู้ที่ละเลยไม่สนใจในคำสั่งของพระเจ้า ที่ไม่ได้มาจากขาดความเชื่อวางใจ อีกแง่หนึ่ง … คือการดูหมิ่นพระเจ้า – การให้เกียรติ ย่อมมีผลที่เห็นชัดเจนในความยำเกรงและนอบน้อม เราให้เกียรติผู้ใด ย่อมอยากจะทำตาม เดินตาม สนับสนุนเป็นที่สุด อย่างสุดความสามารถ ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ที่ให้เกียรติพระเจ้าย่อมมุ่งตรงไปที่น้ำพระทัยและคำสั่งของพระองค์ ที่มาถึงเราเป็นการส่วนตัวอย่างที่สุด… Read More »

พระเจ้าไม่เคยลืม แม้เราหลงลืมไปแล้ว

ในทุกคำตรัสของพระองค์จะเป็นจริงเป็นแน่ แม้วันเวลาผ่านไปแสนเนิ่นนานสักเพียงใด มันจะถูกทำให้ปรากฏและเห็นว่าเป็นจริงในที่สุด เมื่อพระเจ้าทรงตรัสสิ่งใดกับเราไว้ หรือทรงสัญญาไว้ สิ่งนั้นไม่ได้เลือนหายไปตามวันเวลา แต่จะเป็นจริงอย่างแน่นอน… แม้วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งตัวเราเองก็ลืมไปแล้ว ถึงสิ่งที่ทรงตรัส ทรงสัญญา หรือแม้แต่สิ่งที่ร้องขอต่อพระเจ้าไว้ในอดีต … แต่แผนการณ์ของพระเจ้ายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านการดำเนินชีวิตที่แสนเรียบง่ายอย่างสัตย์ซื่อของเราในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา… และเมื่อถึงวาระเวลากำหนดมาถึง เราจะค้นพบว่าทุกสิ่งที่ทรงตรัสได้บังเกิดขึ้นและมันไม่สูญหายไปตามกาลเวลาหรือสถานการณ์   พระเจ้าไม่เคยลืม แม้เราหลงลืมไปแล้ว   พระเจ้าจะนำพาเรากลับมายืนในจุดที่ทรงตรัสไว้ล่วงหน้าแล้ว (ตั้งแต่ในอดีต) – ชีวิตโยเซฟ พระเจ้าสำแดงถึงแผนการในชีวิตเขา ผ่านความฝันในวัยเด็ก ใช้เวลากว่า 40 ปีจึงบังเกิดขึ้น ในช่วงระยะเวลาเหล่านั้นต้องผ่านการขัดเกลาจน เติบโต ผ่านความอดทน เรียนรู้ ยอมจำนน … แต่ไม่ว่าจะนานเพียงใด สิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้มันบังเกิดขึ้นจริง – ชีวิตอับราฮัม จะมีลูกหลานดั่งเม็ดทรายในทะเล คำตรัสของพระเจ้าเป็นจริงจวบจนทุกวันนึ้ แต่อับราฮัมได้เห็นแค่รุ่นลูกหลานเพียงไม่กี่คน แต่เขามั่นใจในพระสัญญาของพระเจ้า บัดนี้เป็นจริงตามถ้อยคำตรัสของพระองค์ – การพยากรณ์จากพันธสัญญาเดิม (OT) เกิดขึ้นในพันธสัญญาใหม่ (NT) ….. ….. ….. – ในชีวิตเรา… Read More »