Category Archives: สีสันชีวิต

○ สะท้อนความงดงามผ่านกระบวนการต่างๆ ที่พระเจ้าสร้างในชีวิตส่วนตัวข้าพเจ้าเอง
○ นำเสนอทัศนะ รูปแบบตามบุคลิกภาพและจุดยืนที่พระเจ้าเรียกในชีวิตข้าพเจ้าเอง

ตะกละตะกลาม

คนที่ตะกละมักไม่เคยลิ้มรสดีของอาหารที่อยู่ตรงหน้า เขายัดๆ มันเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาหารนั้นรสดีหรือไม่ , ใหม่สดหรือไม่ อย่างไร ผลที่ได้คือ นอกจากอิ่มจนอ้วก จนไม่เหลือส่วนดีอันใดอยู่ในร่างกายเลย  เขาไม่สามารถแยกแยะระหว่างอาหารรสเลิศกับเศษอาหารจากขยะได้ เพราะเขาได้แต่ยัดๆ    ๆๆ มันเข้าปากอย่างรวดเร็วจนไม่ลืมหูลืมตา คนโลภก็เป็นเช่นนั้นแหละ พวกเขาไม่มีความสามารถในการแยกแยะสิ่งดี ออกจากสิ่งชั่ว และไม่สนใจว่าจะด้วยวิธีการใด , ที่มาเป็นอย่างไร , กับใคร แต่ที่แน่ๆ ขอให้กอบโกยได้เป็นพอ แม้เขาอ้วกแตกหรือสำรอกออกมา ก็ไม่ทำให้สำนึกขึ้นมาได้สักน้อยนิด เพราะความโลภนั้นไม่สามารถหยุดยั้งปาก (ที่อ้าขึ้น) ให้สัมพันธ์กับกระเพาะ(ที่อิ่ม) ได้ พระเจ้าให้เรามีใจหิวกระหายหาพระองค์ เพื่อเราจะสามารถกินจนอิ่ม ได้รับจนพอ แบบซึมซับและรับรู้สิ่งดีอย่างเต็มที่ ดังนั้นพระองค์จึงมีเวลาแต่ละสิ่งสำหรับเราเสมอๆ ไม่เร่งรีบจนเกินไป มองดูสิ่งรอบตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป  ค่อยๆ รับรู้ทางของพระองค์  ดื่มด่ำจนกว่าจะเต็มอิ่ม ก้าวทีละก้าว อย่างสัตย์ซื่อและเที่ยงตรงต่อพระองค์ ตนเอง และผู้อื่น เหตุนี้เองผู้ที่หิวและกระหายจึงได้ลิ้มรสแห่งความชื่นบาน เห็นถึงความสวยงามของสิ่งต่างๆ ผ่านพระหัตถ์พระเจ้า เรียนรู้ที่จะซึมซับเพื่อเติบโตและเข้าใจ มองเห็นพระพรที่จะเกิดขึ้นตามมา อาหารรสเลิศจะต้องใช้เวลาในการปรุง เพื่อให้เกิดความสมดุลย์ทั้งรสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ ความสะอาด และความสวยงาม ในขณะที่เมื่อเราได้ลิ้มรสก็จะค้นพบความแตกต่าง… ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบเร่งเพื่อทำให้ตนเองอิ่ม… Read More »

สิ่งที่พระเจ้ารับจากเรา

ภาพ : การมอบของขวัญให้ แต่ผู้รับไม่สามารถใช้งานได้จริง ก็เก็บไว้ในห้องเก็บของ หากให้ซ้ำๆ เมื่อเวลาผ่านไปเปิดประตูห้องเก็บของก็จะรู้ว่าของที่ผู้รับๆ มาแล้วใช้การไม่ได้จริงอยู่เต็มห้องเก็บของไปหมด แต่ผู้ให้ไม่เคยรับรู้เลยหรือไม่เคยสนใจหรือสังเกตุเห็นเลยว่าผู้รับไม่สามารถใช้งานได้จริง การมอบถวายแด่พระเจ้าก็เช่นกัน แน่นอนว่าด้วยความเป็นมนุษย์คงไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์โดยเฉพาะมนุษย์คนบาปมอบให้ กับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่นั่นไม่เป็นเหตุใช้อ้างได้ อันเนื่องมาจากพระเจ้าทรงพยายามช่วยเราเสมอ หากการมอบถวายเป็นการมอบในส่วนที่พระเจ้าสามารถรับได้สิ่งนั้นย่อมไม่สูญเปล่า หญิงที่ถวาย 2 ตะลันต์สุดท้ายในมือยังมีมูลค่าน้อยกว่าเครื่องบูชาของของคาอินเป็นยิ่งนัก  แต่เหตุไฉนพระองค์จึงทรงชอบพระทัย พอพระทัย และชื่นชมหญิงนั้น 1. มาจากจิตใจ จิตวิญญาณ ที่เทออกให้พระเจ้าทั้งหมดไม่เก็บบางส่วนไว้สำหรับตนเอง 2. เป็นสิ่งที่พระเจ้าเรียกจากเรา แม้เราให้สิ่งต่างๆมากมาย ตามความคิดเห็นของเราว่ามันดีเสียเหลือเกิน แต่หากพระเจ้าไม่ยอมรับก็เท่านั้น *** สิ่งที่มีมูลค่าจะมากน้อยไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่มีคุณค่าในสายพระเนตรพระเจ้า เพราะพระ เจ้าทรงบริสุทธิ์สิ่งใดก็ตามที่มลทิน แม้เพียงน้อยนิด ก็ไม่สามารถนำกลับมาถวายให้กลับพระเจ้าได้อีกเลย ในส่วนของมนุษย์อาจมองว่าไม่เป็นไร มองไม่เห็นถึงความสำคัญ การมอบถวายสิ่งที่มลทิน นอกเสียจากพระเจ้าไม่ยอมรับแล้ว อาจนำการแช่งสาปมาถึงได้ แทนที่การเก็บเกี่ยวพระพรจากการมอบถวายนั้น การมอบถวายเป็นปกติธรรมชาติของผู้ที่ใกล้ชิดพระองค์ ที่มีความปรารถนาภายในที่อยากมอบให้กับพระองค์ เพราะความรักและการสำนึกถึงพระคุณของพระเจ้า และจะมีบางช่วงเวลาที่พระเจ้าเรียกร้องให้เราถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์เอง ซึ่งความเสียดายและไม่เห็นคุณค่าในการมอบถวายย่อมสะท้อนออกผ่านสิ่งที่มอบถวายแด่พระเจ้า 260713

การตั้งชื่อ การถือฤกษ์ยาม

ในเอเดนที่สมบูรณ์พระเจ้าทรงให้สิทธิอำนาจกับอาดัมในการตั้งชื่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินโลก เพื่อการครอบครอง นั่นแสดงว่าพระเจ้าให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อ เพราะมันหมายถึงการครอบครอง ซึ่งแน่นอนว่า คริสเตียนไม่เชื่อเรื่องดวง ไม่เชื่อเรื่องการถือฤกษ์ยาม แต่การตั้งชื่อเป็นคนละประเด็น เพราะเป็นเหมือนการกำหนดทัศนคติต่อสิ่งนั้นๆ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อให้อับรามเป็นอับราฮัม (บิดาของชนชาติ) พระเยซูเปลี่ยนชื่อจากซีโมนเป็นเปโตร (ศิลา) ดังนั้นการตั้งชื่อจึงเป็นเสมือนการบ่งบอกว่าจะเป็นอย่างไร หรือแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของชื่อนั้นๆ ด้วย แต่มีบางคนที่แช่งสาปตนเองและคนรอบข้างด้วยชื่อตั้งและติดตัว เช่น แม่ของยาเบส (ตัวซวย) นาโอมี(ชื่นชม) เป็นมารา (ขมขื่น) นรธ.1:20 นาโอมีตอบเขาว่า “ขออย่าเรียกฉันว่านาโอมีเลย ขอเรียกฉันว่ามาราเถอะ เพราะว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงกระทำแก่ฉันอย่างขมขื่น ดังนั้นหากเราปรารถนาจะมีสิทธิครอบครองแบบที่พระเจ้าให้อาดัมตั้งแต่แรกเริ่ม เราก็ควรอย่างยิ่งที่จะตั้งชื่อให้งดงามสมกับที่พระเจ้าให้สิทธินั้นแก่เรา   210613

ดวงดาวยามมืดมิด‏

ในเวลาค่ำคืนที่มืดสนิท มองไปอาจไม่เห็นอะไรที่กลางวันสามารถมองเห็นได้… แต่ดวงดาวบนท้องฟ้ายังคงอยู่ตรงนั้นเพื่อส่องแสงสว่าง มันไม่ได้เคลื่อนไปไหน หรือแม้แต่จะสลับเคลื่อนที่ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลกนี้ เมื่อเรามองขึ้นฟ้าเวลากลางคืนท่ามกลางความมืดเราจะเห็นดวงดาวอยู่ในตำแหน่ง เดิมของมัน ดาวแต่ละดวงส่องแสงจ้ามากน้อยต่างกันออกไป เพื่อให้ท้องฟ้าโดดเด่นและงดงามเหมือนเล่นสีสัน พวกมันอยู่ตรงนั้นพร้อมๆ กับดวงจันทร์ที่ส่องแสงลงมาบนพื้นดิน… ไม่ว่าเวลาใดก็ตามดวงดาวยังคงอยู่ที่เดิมตำแหน่งเดิม แม้ท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นความสว่างด้วยดวงอาทิตย์มันก็ยังคงอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ใช่เวลาที่มันจะส่องแสง มันยังคงเรืองแสงอยู่เช่นเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เพียงแต่แสงของดวงอาทิตย์สว่างจ้ากว่ามันหลายร้อยล้านเท่าจึงมองดูเสมือนว่า มันอับแสงอยู่ แต่แท้จริงมันยังคงเรืองแสงในตัวของมันเอง และมันก็กลับมาส่องแสงให้เห็นอีกครั้งเมื่ออาทิตย์ตกดิน…แม้ว่าค่ำคืนนั้น เมฆจะมากจนบดปังแสงของมัน มันก็ยังคงอยู่ตรงนั้น… เมื่อเมฆเคลื่อนผ่านเลยพวกมันไป มันก็ยังคงอยู่ ณ ที่ของมันไม่เคยเปลี่ยน…. หน้าที่ของมัน คือ อยู่ ณ จุดเดิมและเปล่งแสงของมันไป…ส่วนที่เปลี่ยนและหมุนเคลื่อนไป คือกลางวันและ กลางคืน ความสว่างและความมืดที่มาพร้อมๆ กับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ … ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์และเป็นตัวนำพาความมืดความสว่าง เป็นผู้กำหนดกลางวันและกลางคืนด้วยลักษณะของตัวมันเอง….แต่ถึงอย่างไรก็ ตามดวงดาวยังคงอยู่ตรงนั้นที่ของมัน มันทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยน แต่มันทำให้ท้องฟ้าสวยงามในยามค่ำคืนเท่านั้นเอง…. พวกดวงดาวไม่เคยต้องทุกข์ร้อนหรือกังวลกับสิ่งที่เปลี่ยนไปของกลางวันและกลาง คืน  ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มันไม่เคยต้องวิ่งไปมาบนท้องฟ้าเพื่อสลับที่ มันไม่เคยทำน้อยกว่าเดิมหรือมากกว่าเดิมเลยสักครั้ง มันส่องแสงเท่าเดิมตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าสร้างมัน แม้บางวันท้องฟ้าจะเอื้อให้แสงของมันชัดขึ้นกว่าปกติ หรือบางเวลาเมฆจะบังมันจนมิดแม้ในยามค่ำคืนที่เป็นโอกาสให้ใครต่อใครได้เห็นแสงของมัน …แต่มันก็ไม่ทุกข์ร้อนใดๆ กับสิ่งที่เข้ามาและออกไป มันทำแค่ 2 สิ่งคือ อยู่ที่เดิมและส่องแสงเหมือนเดิมทุกเวลา…… Read More »

ความสมดุลย์ของชีวิต

ภาพ : การปรุงอาหาร เรื่องบางอย่างจำเป็นต่อผู้อื่นมาก แต่ไม่จำเป็นเลยสำหรับเรา ในขณะที่เรื่องบางอย่างก็จำเป็นมากในชีวิตของเรา แต่กับบางคนไม่จำเป็นต้องมี หรือมีเพียงน้อยนิดเป็นพอ การมีความสมดุลย์ในชีวิต เหมือนการปรุงอาหารเลิศรส อาหารที่ดีและอร่อยต้องเหมาะกับคนที่กิน ทั้งร่างกาย ความชอบ สุขภาพ คุณประโยชน์ ครบถ้วนด้านโภชนาการ ถูกหลักอนามัย สะอาด … หาใช่การใส่เครื่องปรุงทุกชนิดในปริมาณเท่าๆกัน   ชีวิตคริสเตียนที่มีความสุขแท้คือ การมีความสมดุลย์ในการใช้ชีวิต การทรงสร้างของพระเจ้าสมบูรณ์แล้วตั้งแต่แรกเริ่มและดั้งเดิม จะมีประโยชน์อะไรหากเรารู้จักพระเจ้าเพียงด้านเดียว มุมเดียว เพราะไม่ทำให้ชีวิตของเราไปถึงความไพบูลย์ได้ พระเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งในการเปิดเผยพระองค์เองให้เรารู้จักในทุกพระลักษณะทุกแง่ทุกมุม เหตุนี้ชีวิตของเราจึงมีความสุขและตื่นเต้นได้เสมอๆ และทุกเวลา เพราะมีสิ่งใหม่ๆในพระเจ้ารอเราอยู่เสมอ   ความสมดุลย์เป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวและฝึกฝน จนกระทั่งค้นพบสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเราเองมากที่สุด แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความสมดุลย์ คือ การเปรียบเทียบและเลียนแบบผู้อื่น !!! เพราะแทนที่จะเหมาะสมกับตนเองกลับเป็นการฝืนทนในสิ่งที่ไม่เหมาะและไม่เป็นตัวตนของเราเอง   พระเจ้าสร้างชีวิตเรามาอย่างดี และใส่คุณค่านั้นในชีวิตของเรา ดังนั้นเอง ตัวเราก็มีดีไม่น้อยหน้าผู้ใด ผู้ที่มีความสมดุลย์จึงสามารถมีความสุขในสิ่งที่มีและเป็นในชีวิตอย่างที่สุด   ♡♡ ความสุขแม้เล็กๆ แต่มันนำความชื่นบานมาสู่ใบหน้าและจิตใจ ♡♡ 15/12/2013 11:21

เราให้เกียรติพระองค์..เท่ากับที่ทรงให้เกียรติเราหรือไม่???‏

เป็น ที่แน่นอนว่า เราคงไม่สามารถทำสิ่งใดๆให้พระเจ้าได้เท่าที่ทรงทำให้เรา แต่บางครั้งความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนไม่ได้ชั่งที่ใครให้ใครก่อน ใครให้มากกว่ากัน แต่ต่างมีความสุขที่ได้ให้ ต่างเต็มอิ่มเมื่ออีกฝ่ายได้รับสิ่งดี สามารถอุ่นใจได้ว่ามีคนที่รู้ใจ สามารถนั่งยิ้มได้เมื่อนึกถึง….นั่นแหละที่พระเจ้าต้องการจากเรา…. ในเวลาบ่อยครั้งที่เราเป็นฝ่ายขอและรอจะรับจากพระองค์ (ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นพระลักษณะหนึ่งของพระเจ้า) แต่จะมีบางเวลาที่เราปรารถนาจะเป็นหรืออยากทำเหมือนที่ทรงทำต่อเรา…อยากจะ รักพระองค์อย่างที่ทรงรักเราก่อน อยากจะเป็นคนนั้นที่เมื่อพระองค์มองหาใครไม่เจอสำหรับบางเรื่อง ก็เป็นเราจริงๆ ที่จะยืนอยู่ตรงนั้น แล้วกล่าวว่า “ข้าพระองค์อยู่นี่ ขออย่าผ่านเลยไป” อยากจะให้เกียรติพระองค์มากเท่าที่ทรงให้เกียรติเรา อยากจะแคร์พระองค์มากกว่าสิ่งใดๆ…..แต่ทำไมบางครั้งดูเหมือนใครหลายคน และหลายครั้งก็เป็นเราที่ลืมจุดๆ นี้ไป?? พระเจ้าให้เกียรติเราอย่างไรหรือ?? 1. ในทุกการตัดสินใจเป็นของเราเสมอ >> ไม่ว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร จะเชื่อฟังหรือไม่ พระเจ้าก็ให้เกียรติเรา พระองค์ไม่เคยบีบบังคับหรือคาดคั้นกับเรา ดังนั้นเราจึงสามารถเลือกที่จะตอบสนองพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ แน่นอนแต่ละระดับการตอบสนองได้รับผลแห่งการอวยพรต่างกันออกไป แต่นั่น… คือสิ่งที่เราเลือกเอง!!!….และพระองค์ทรงมอบสิทธิเหล่านั้นไว้ในมือของเรา อย่างแท้จริง… (แม้ในความเป็นจริงพระองค์สามารถทำอะไรก็ได้ก็ตามที) …และนี่คือ ที่สุดของการให้เกียรติเรา คือ ทรงมีความสามารถโดยชอบธรรมที่จะทำสิ่งใดๆกับเราก็ย่อมได้ แต่ไม่ทรงทำถ้าเราไม่ยอม…. 2. ไม่ทรงปล่อยปละละเลยหรือเมินเฉยต่อเรา  >> พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเราเพราะเหตุการตัดสินใจของเรา แต่บาปจะสร้างกำแพงกั้นความสนิทใจระหว่างเรากับพระเจ้า จนเกิดเป็นระยะห่างและช่องว่าง จนกว่าเราจะยอมปล่อยบาปนั้นๆไป กำแพงนั้นจะถูกทำลายลงเมื่อเราต้องการพระองค์ แม้ในเวลาเหล่านั้นจะไม่ใคร่น่าอภิรมย์สำหรับความบริสุทธิ์ของพระองค์ แต่เชื่อเถอะไม่มีสักเวลาที่ไม่ทรงอยู่ด้วย ที่ไม่ทรงรู้เห็น …เพียงแต่กำแพงนั้นทำให้เรามองไม่เห็นพระองค์ แต่มันไม่สามารถซ่อนเราจากพระองค์ได้… Read More »

ที่ซ่อนในยามสงคราม‏

ในเวลาที่เราได้ก้าวเข้าสู่สงครามนั้น อาจจะมีบางช่วงเวลาที่มันยาวนาน  เพราะขนาดแต่ละสงครามยาวนานและหนักหนาไม่เท่ากัน ดังนั้นการเตรียมชีวิตให้พร้อมสำหรับการเข้าสู่ช่วงเวลานั้นจึงสำคัญมาก เพราะเราไม่อาจรู้ระยะเวลาที่จะสิ้นสุดแน่นอนได้เลย และหากการเตรียมเข้าสู่สงครามเป็นสิ่งสำคัญแล้วเพียงใด ในระหว่างที่เราอยู่ในสงครามนั้นยิ่งสำคัญกว่า เพราะเราจำเป็นต้องระมัดระวังทุกย่างก้าวของเรา ทั้งกาย ใจ วิญญาณและความคิด เพราะรอบด้านเราเต็มไปด้วยการล่อลวงให้เราหลงและการโจมตีให้เราล้มลง และในเวลาเช่นนี้ …เมื่อความเมื่อยล้าและความหนักหน่วงที่ดูเหมือนเกินกำลังของเรา (แท้จริงไม่มีสักสงครามเดียวที่ง่ายดาย แต่ที่เราทำมันได้และผ่านสิ่งที่ยากเย็นไปได้เพราะการช่วยเหลือของพระองค์ ต่างหาก ที่เป็นเช่นนี้เพื่อไม่ให้เราหยิ่งและหลงทางว่า…. “ฉันทำได้ด้วยกำลังของเราเอง”…) บวกกับเวลาที่ยาวนานออกไปเรื่อยๆ เรามองไม่เห็นว่าจะไปอย่างไร นอกเสียจากปลายทางที่ทรงสัญญาแล้ว เรามองไม่เห็นสิ่งอื่นใด ….ทั้ง… เพื่อนร่วมทาง เส้นทางที่กำลังก้าวไป หนทางที่จะจัดการกับศัตรูให้อยู่หมัด …สารพัดสิ่งเริ่มประดังเข้ามาเป็นเหตุผลที่สนับสนุนให้หันหลังกลับหรือ เลิกรากลางคันได้อย่างดี *** แต่พระองค์ไม่ปรารถนาเช่นนั้น …. :: เมื่อเราอยู่ในสงครามเราไม่สามารถร้องไห้กลับบ้านได้ทุกเมื่อตามความพอใจของ เรา เราไม่สามารถเลิกหรือหยุดกลางคันได้เหมือนการเดิน shopping เพราะ… 1. เราจะเป็นผู้แพ้ในทันที และเราอาจจะเข็ดขยาดกับสงครามครั้งนั้นเลยก็เป็นได้ 2. ถ้าเราไม่ชนะ นั่นหมายความว่า การโจมตีและการล่อลวงในสงครามครั้งนั้นจะมีชัยเหนือเราต่อไปได้อีกนาน เท่าที่เราจะลุกขึ้นสู้ต่อไป 3. เราจะสูญเสียกำลังและพลังโดยเปล่าประโยชน์ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาของสงครามครั้งนั้น 4. เราอดรับพระสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับเราในปลายทางและเราก็ไม่ได้เห็นมันด้วยตา สัมผัสมันด้วยใจ รับมันไว้เป็นประสบการณ์ชีวิตของเราเอง 5. สิ่งสำคัญคือพระเจ้าเสียใจ เพราะ… Read More »

ได้รับตามที่จ่ายออก..‏

ส่วนตัวข้าพเจ้าชอบการจ่ายราคา โดยเฉพาะการเดินกับพระเจ้า เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า เมื่อจ่ายออกย่อมได้รับกลับมา … เมื่อข้าพเจ้าจ่ายออกไป ข้าพเจ้าจะนั่งลุ้นว่า สิ่งที่กลับมาจะเป็นอะไร แม้การจ่ายแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย บางช่วงเวลาเป็นเรื่องที่ยาก บางช่วงเวลาไม่มีแม้แต่แรงที่จะจ่ายออก บางช่วงเวลาอยากจะเก็บออม แต่นั่นแหละ… ไม่มีสิ่งอันใดเป็นเหตุให้ข้าพเจ้ากล่าวได้ว่า … “จ่ายไม่ได้”   การจ่ายราคา ไม่ได้ หมายถึง ตัวเงินเท่านั้น แต่หมายถึงทุกสิ่งที่เป็นต้นทุนต่างหาก เช่น แรง กำลัง ความคิด เวลา ศักยภาพ สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ทำเป็น สิ่งที่ทำไม่เป็น … “สิ่งใดคือต้นทุนในชีวิต นั่นแหละคือ สิ่งที่สามารถใช้ในการจ่ายราคาได้ ” เราแต่ละคนนั้นมีจุดที่จะต้องจ่ายราคาเพื่อจะได้รับแตกต่างกัน บางคนยินดีจ่ายมากก็ย่อมจะได้รับมาก บางคนจ่ายน้อยผลตอบแทนกลับมาย่อมน้อยด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จ่ายมากแล้วจะได้รับตามที่ตนเองต้องการเสมอไป … พระเจ้าทรงมีบางสิ่งเพื่อแต่ละคนแตกต่างกันออกไปตามการทรงเรียกและชีวิตพื้นฐานของเรา ซึ่งชีวิตเบื้องต้นในอดีตตั้งแต่วันเด็กของเรามีผลต่อการยินดีจ่ายราคาออกไป อย่างแน่นอน….ซึ่งการที่เราจะยินดีควักสิ่งที่เราต้องจ่ายออกไปมากหรือน้อย เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับการเห็นคุณค่าในสิ่งนั้น บางคนอาจยินดีจ่ายราคาจำนวนมากและยาวนานเพื่อบางสิ่งที่อีกคนรู้สึกว่าถ้า เป็นเขาจะไม่ยอมจ่ายโดยเด็ดขาด … แท้จริงการเดินติดตามพระเจ้าย่อมมีการจ่ายราคาอยู่ทุกระยะที่เราเดิน …พระคุณพระเจ้านำเราเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ แต่เส้นทางการเดินติดตามพระองค์ที่แสนยาวไกลจะไร้คุณค่าหากปราศจากการจ่ายราคา คงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่ทั้งชีวิตในทุกเช้าวันใหม่เราตื่นขึ้นมาพร้อม… Read More »

THIS STORY IS LONG.‏

ในบางเรื่องราว เราไม่สามารถสรุปและให้คำตอบได้ในทันที เพราะหลายครั้งเราเองก็ไม่รู้ชัดเจนว่าสิ่งที่พระองค์กำลังทำอยู่ คือสิ่งใด…สิ่งที่เราพอจะทำได้และควรทำคือ อดทนและเรียนรู้จากพระองค์ไปทีละก้าว ทีละขั้นตอน …ยิ่งเรื่องใด สิ่งใดที่เราต้องใช้ระยะเวลากว่าจะรู้และเข้าใจ นั่นแสดงว่า พระเจ้าได้นำเราเข้าสู่กระบวนการแห่งการเรียนรู้และพัฒนาชีวิตของเราบางด้าน เหมือนดังภาพ : การเรียนภาษาอังกฤษ เราไม่สามารถเป็นได้ในวันเดียว เพราะเราไม่คุ้นเคยและมันไม่ใช่ภาษาที่เราใช้อยู่ทุกวัน ไม่ใช่ของเรา เราจึงต้องค่อยๆ เรียนไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะพูดได้ ฟังได้และพบปะกับเจ้าของภาษาได้ แม้จะมีบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเราเป็นการส่วนตัว หรือการสำแดงใดๆ ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะเข้าใจในทันทีหรือใช้เวลาอันสั้น เพราะเรื่องบางเรื่องเราก็ต้องให้เวลาตัวเองในการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน ….ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับ… ~ ขนาดของเรื่องนั้นว่าใหญ่แค่ไหน เรื่องใหญ่เรื่องซับซ้อนมากเพียงใด อาจใช้เวลามากเท่านั้น ขนาดชีวิตที่รองรับ ~ การจดจ่อและการเปิดใจของเรา การที่เราเปิดใจออกเร็วเท่าไรก็จะได้รับการเปิดเผยความจริงบางประการที่เรา ไม่เข้าใจเร็วเท่านั้น เพราะการสำแดงของพระเจ้าจะไม่มาถึงคนที่มีใจอคติและใจลำเอียง เนื่องจากมนุษย์มีแนวโน้มทำสิ่งต่างๆตามใจปรารถนาของตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว เพียงแค่นี้เขาก็พร้อมจะอ้างในสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ทำและไม่ได้ตรัส การที่พระเจ้านิ่งเมื่อเราอคติก็เพื่อให้เราจัดการกับตัวเอง ความชัดเจนจะมาหลังจากที่เราได้ clean&clear ตัวเองได้อย่างดีแล้ว เมื่อเราจัดการตัวเองให้ปราศจากอคติที่ตกค้างภายในแล้วคุณภาพการจดจ่อที่พระ เจ้าก็สูงขึ้นแทนที่การบังคับให้พระเจ้าตอบตามที่ภายในลึกๆของเราหมายปองไว้ ~ เวลาของพระเจ้ามาถึง ส่วนนี้สำคัญมากที่สุด พระเจ้ามีเวลาให้กับเราแต่ละคน และพระองค์ทรงรู้ว่าเวลาใดคือเวลาของเรา ดังนั้นการอดทน นิ่งรอคอย บังคับตนให้อยู่ภายใต้พระวิญญาณบริสุทธิ์จนผลนั้นเกิดกับเราอย่างเต็มขนาด ปัญหาส่วนใหญ่ของมนุษย์ คือ มักอดทนรอจนเวลานั้นมาถึงไม่ไหว… Read More »

ความแตกต่างของการบ่นกับการระบาย

หลายคนอาจสงสัยว่า การบ่นกับการระบายต่างกันอย่างไร?? การบ่น มักเป็นการพูดแง่ลบ เพื่อพ่นหรือระบายเอาสิ่งไม่ดีออกมา สิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ สิ่งที่ไม่พึงพอใจออกมา ซึ่งคนที่บ่นมักไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากการได้พูดออกไป ใครก็ได้ที่พอจะบ่นออกไปได้ ไม่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ต้องการการแก้ไขหรือพัฒนา ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น นอกเสียจากขอให้ได้บ่นๆๆๆๆ ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง มองไม่เห็นจุดที่ตัวเองยืน มองไม่เห็นสภาพแวดล้อมความเป็นจริง มีแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการเท่านั้นเป็นหลัก ดังนั้น อะไรก็ตามขัดใจ ขัดจากความต้องการก็จะบ่นๆๆๆๆ และมักพานไปถึงคนอื่นและในที่สุดก็ต่อว่าพระเจ้า เช่น อิสราเอลบ่นที่ไม่มีน้ำกิน ต่อว่าโมเสส ต่อว่าพระเจ้าว่าพาออกมาจากอียิปต์ทำไม … คนขี้บ่นมักขุดเรื่องทุกเรื่องมาโยงใยกันให้มั่วไปหมด ที่เคยขอบคุณพระเจ้าไปแล้ว เมื่อถึงเวลาบ่นกลับต่อว่าพระจ้าเฉยเลย ที่เคยเห็นการช่วยกู้ของพระเจ้าไปแล้ว พอถึงจุดไม่ได้ดั่งใจก็ไม่มีอะไรดีนอกจากตัวเอง #‪#‎ข้อสังเกต‬‬‬ คนขี้บ่นมักต่อว่าสิ่งรอบตัว โดยละเว้นตัวเอง หรือเลือกไม่พูดถึงตนเองหากรู้ว่าสิ่งที่ตนบ่นนั้นมีสาเหตุมาจากการรับผลของตนเอง คนขี้บ่นไม่ต้องการความยากลำบากเลย และอยู่ร่วมกับมันไม่ได้เลย ซึ่งสะท้อนถึงระดับความอดทนที่ต่ำ แต่การระบาย…. นั้นแตกต่าง แม้ดูภายนอกจะละม้ายคล้ายๆกันบ้าง การระบาย …. เป็นการแสดงความเป็นตนเอง และบ่งบอกตัวตนของตนเองออกมา ว่าในขณะนั้นเราเป็นอย่างไร สิ่งที่เราเผชิญอยู่เป็นอย่างไร เรารู้สึกอย่างไร ไม่ชอบ ไม่ไหว อย่างไร เช่น อ่อนแอก็ร้องไห้ เหนื่อยก็อยากพัก… Read More »