Category Archives: สีสันชีวิต

○ สะท้อนความงดงามผ่านกระบวนการต่างๆ ที่พระเจ้าสร้างในชีวิตส่วนตัวข้าพเจ้าเอง
○ นำเสนอทัศนะ รูปแบบตามบุคลิกภาพและจุดยืนที่พระเจ้าเรียกในชีวิตข้าพเจ้าเอง

ดาวิดกับการคร่ำครวญเพราะบาปล่วงประเวณี

ดาวิดคร่ำครวญเพราะบาปที่เขาทำไป เขารู้อยู่ว่าพระเจ้าจะพิพากษาด้วยการให้ลูกชายที่เกิดมาจากบาปครั้งนี้ตายไป แต่เขาก็ยังคงใส่ผ้ากระสอบอดอาหารคร่ำครวญและวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แม้เขาจะรู้แล้วก็ตามว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ในขณะที่เวลากำลังเคลื่อนผ่านคำตัดสินนั้นไป เขาไม่ได้นิ่งเฉย แต่กลับทำส่วนของตนเองอย่างที่สุด ร้องขอ ใจลึกๆ คงคาดหวังว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนพระทัยกลับสถานการณ์ แต่อีกใจเขาก็รู้อยู่เต็มอกถึงพระลักษณะของพระเจ้าทุกด้านทั้งทรงคุณ เมตตา และเด็ดขาด ใจที่กำลังสลายเพราะบาปที่ได้ก่อขึ้น เขาผ่านคืนวันเหล่านั้นด้วยการคร่ำครวญอยู่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา ด้วยหวังว่าพระองค์จะเป็นผู้ปลดปล่อยและให้อภัยเขาจากบาปนั้น ที่สำคัญเขาได้แสดงการกลับใจอย่างแท้จริง เพื่อให้เขาสามารถออกจากบาปเหล่านั้น ทิ้งบาปเหล่านั้นได้ เพราะมันได้เกาะกุมชีวิตเขา …. การปล้ำสู้ด้วยการวิงวอนนี้เป็นการบอกว่า … เขากำลังสู้กับบาปนั้นอยู่จนกว่าบาปเหล่านั้นจะไม่มีผลต่อเขาอีกต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยบทเรียนพิเศษที่แสนสาหัสก็ตาม เพราะบางสิ่งเราจะไม่เข้าใจเลย จนกว่าจะได้รับบทเรียน … การนั่งอยู่ตรงนั้นของดาวิดไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการขอกำลังที่จะผ่านพ้นเวลาเหล่านี้ไปได้ด้วย (ซึ่งสะท้อนภาพของพระเยซูในขณะอธิษฐานที่เกธเซมเน)… จนกระทั่งเมื่อบุตรชายคนนี้ได้ตายลง … ดาวิดลุกขึ้นแต่งกายตามปกติทั้งยังกินอาหารอย่างเต็มอิ่ม เพราะเขารู้ว่าเวลาแห่งการพิพากษาโทษเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว  เขาไม่หลงเหลืออาการหรือวี่แววของการขุ่นเคืองพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย และด้วยการคร่ำครวญกลับใจอย่างที่สุดของดาวิดนั่นเอง นำมาซึ่งพระพรใหม่ที่พระเจ้าประทานให้ หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาอันแสนสาหัสของเขาและจัดการเคียร์ชีวิตให้หมดจดจากบาปล่วงประเวณีแล้ว นั่นคือ การประทานบุตรชายคนใหม่อย่างถูกต้องให้กับเขา คือ ซาโลม่อน     ดาวิดกับการคร่ำครวญ 1.    การปล้ำสู้ด้วยการวิงวอนและแสดงออกถึงการกลับใจอยู่ต่อหน้าพระองค์ด้วยใจที่เป็นทุกข์หนักกับความบาปที่ได้กระทำหรือเข้ามา เป็นการกระทำอย่างที่สุดที่มนุษย์พึงกระทำต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 2.    แม้รู้ทั้งรู้ว่าผลแห่งความบาปนี้คือสิ่งใด การกระทำเช่นนี้เป็นการถ่อมลงยอมรับด้วยการคร่ำครวญ และแสดงถึงการกลับใจใหม่ การต้องการพระองค์อย่างแท้จริง 3.  … Read More »

กระบวนการสร้างของพระเจ้า

—> รู้ —> เข้าใจ —> เป็นชีวิต —> = แสวงหา การแสวงหาพระเจ้าเป็นพื้นฐานในการเริ่มต้นและก้าว step ต่อไปมากขึ้น พระเจ้าจะเปิดเผยให้เราได้รับรู้ก่อน ไม่ว่าจะการสำแดง การสอน ข้อมูล หรือทางใดก็ตาม (วิธีการของพระเจ้าแล้วแต่คนนั้นๆ ที่เหมาะสม) หลังจากได้รู้แล้วการแสวงหาพระเจ้าต่อไปจะเป็นการนำสู่กระบวนการต่อไป คือ กระบวนการของความเข้าใจในสิ่งที่รู้ ซึ่งพระเจ้าจะสอนเรามากขึ้น ผ่านสารพัดสิ่งในชีวิต เช่น สถานการณ์ จนกระทั่งเราเกิดความเข้าใจในสิ่งที่รู้ เพื่อเปลี่ยนกระบวนการความรู้ที่สมองเป็นกระบวนการความเข้าใจที่จิตใจ เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น หากเรายังไม่หยุดที่จะแสวงหาต่อไป จะนำเราก้าวเข้าสู่กระบวนการเป็นชีวิต จากความรู้ที่สมอง เป็นความเข้าใจที่ใจ และจะกลายเป็นธรรมชาติชีวิตที่เป็นทุกส่วนหรือส่วนหนึ่งของชีวิต   กระบวนการสร้างของพระเจ้า ** ข้อสังเกตุ ทุกกระบวนการต้องมีการแสวงหาเป็นพื้นฐานหลักเพื่อก้าวไปต่อ เพราะใจที่แสวงหาทำให้ได้รับมากยิ่งขึ้น และการไม่หยุดนิ่งที่จะแสวงหา นำพาไปสู่กระบวนการที่สูงขึ้นจนได้มาซึ่งการเป็นชีวิต เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า นั่นหมายถึงพระองค์จะสามารถทำงานในเราได้มากขึ้น เพราะเป็นการเปิดประตูต้อนรับพระองค์ในส่วนนั้นๆ 10/12/2013 12:43

หากล้มลง… ก็ล้มในพระหัตถ์พระเจ้า

มีหลายเรื่องราวที่ไม่สามารถตอบทุกคำถามได้ในทันที นั่นไม่ใช่เพราะไม่มีคำตอบ แต่เพราะน้ำหนักของคำตอบยังไม่ถูกพิสูจน์จนเป็นที่ยอมรับต่างหาก การจะพูดอะไรออกไปจึงแทบไม่เป็นผล สู้ทนนิ่งเงียบและใช้เวลาพิสูจน์ผลเสียจะดีกว่า…   การจะเริ่มต้นทำในสิ่งที่เป็นตัวของเราเองตามการทรงเรียกที่เฉพาะเจาะจงนั้น ย่อมมีความแตกต่างและแปลกประหลาดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะถ้าการทรงเรียกนั้นๆ ที่มาถึงเรามีคนจำนวนน้อยที่มีประสบการณ์ด้วย เพราะบางของประทาน บางการทรงเรียกก็เป็นแบบมวลชน คือ คนหมู่มากทำกัน เช่นทีมนมัสการ นักประกาศ หรืออะไรก็ตาม แต่จะมีบางคนเท่านั้นที่พระจ้าเรียกเป็นพิเศษที่คนจำนวนน้อยเหลือเกินที่ถูกเรียกเช่นนี้ แน่นอนการมีตัวชี้วัดก็เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้พลาดจากกรอบหลักการของพระเจ้า นอกจากวัดเทียบด้วยพระคัมภีร์แล้ว บุคคลในพระคัมภีร์ก็คืออีกทางหนึ่งที่สามารถเทียบวัดได้ในด้านประสบการณ์และการทรงเรียก ของประทาน อีกทั้งคนในอดีตและปัจจุบันด้วย   *** เพราะแท้จริงสิ่งที่สำคัญคือ พระองค์กำลังเรียกให้เราทำสิ่งใด เรามีหน้าที่ทำเท่านั้นเอง นี่แหละที่เรียกว่า “ตอบสนองพระเจ้า”   อย่ากลัวที่จะผิดพลาดหรือล้มลง หากจะล้มในพระหัตถ์พระเจ้า   แต่แน่นอนชีวิตบนโลกย่อมต้องถูกพิสูจน์ ทองเนื้อแท้ต้องถูกพิสูจน์ ซึ่งระหว่างทางแห่งการพิสูจน์นั้น เราไม่เพียงพิสูจน์ว่าเรากำลังเดินตามการทรงเรียกอย่างแน่วแน่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสายตามนุษย์สักวันหนึ่ง ให้พระเกียรติเป็นของพระเจ้าในวันที่เราเสร็จสิ้นภาระกิจเท่านั้น แต่มันกำลังพิสูจน์ตัวเราเองกับพระเจ้าว่าเราจะถวายเกียรติพระองค์ได้อย่างไรเป็นการส่วนตัวแบบเป็นชีวิต ไม่เพียงเท่านั้นเรากำลังพิสูจน์พระเจ้าผู้ทรงเรียกเราด้วยว่าพระองค์เรียกเราเพื่อการนี้จริงหรือไม่ กำลังพิสูจน์ตัวเองต่อพระเจ้าด้วยว่าเรายินดีตายต่อตัวเองเพื่อสิ่งที่ทรงเรียกเราแค่ไหน เพื่อที่จะตอบสนองพระองค์เพียงใด   ซึ่งระหว่างทางแห่งการตอบสนองนี้ ย่อมมีทั้งการเรียนรู้ การขัดเกลา การลองถูกลองผิด การผิดพลาด การชำระและการฝึกปรือ ทุกอย่างอย่างครบรส บางครั้งดูเหมือนจะท้อแท้จนคิดได้เลยว่า เราเดินมาถูกทางหรือเปล่า? ..แต่ก็นั่นแหละเมื่อลองพิจารณาดูแล้วก็ไม่เหลือหนทางอื่นใดให้เราเดิน นอกเสียจากเดินหน้าตามเสียงที่เรียกเราแบบก้าวต่อก้าว… Read More »

คำสั่งที่มากขึ้น‏

การปล้ำสู้ที่สำเร็จจะนำมาซึ่งสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้เราได้มีส่วนร่วม หรือเรียกง่ายๆ ว่า พระองค์จะมี order ให้เราได้ทำร่วมกับพระองค์ รวมถึงยอมเป็นทางผ่านให้พระองค์ได้ทำผ่านชีวิตเล็กๆ ของเราเอง…หลังจากผ่านการปล้ำสู้ในความสัมพันธ์เพื่อให้ได้พระองค์ เพื่อจะอยู่กับพระองค์แล้วนั้น พระเจ้าจะมีบางสิ่งที่มอบหมายให้เราทำ คราวนี้จะไม่ได้มาจากเราจะทำอะไรให้ แต่มาจากพระองค์เรียกให้เราทำอะไรต่างหาก การตอบสนองของเราก็จะเปลี่ยนไปเป็นตอบสนองตามที่พระองค์ปรารถนาในเราหรือทำผ่านเรา แทนที่จะตอบสนองตัวเองเพื่อพระองค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักได้มาหลังจากการมีความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ และเฝ้ารอคอยคำสั่งจากพระองค์เท่านั้น พระเจ้าจะเริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อยและรอบตัวเราก่อน ดูเหมือนบางอย่างจะไม่ได้เกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณ แต่จงเชื่อฟังและทำตามเถิด เพราะมันจะมีผลต่อจิตวิญญาณที่ยอมจำนนและไวขึ้นของเรา จงเรียนรู้ทั้งถูกและผิดแล้วค่อยๆ พัฒนาพร้อมกับสังเกตุสิ่งที่พระองค์ทำในเรา การเคลื่อนไหวของพระองค์แต่ละครั้งเมื่อเราตอบสนองในแต่ละครั้ง เพื่อเราจะค้นหาของประทานและการเจิมที่เป็นของเราอย่างเฉพาะเจาะจง และเราจะรู้และมั่นใจการทรงเรียก หรือที่เรียกว่าจุดที่เราต้องยืนในแผนการณ์ของพระเจ้า ระหว่างนั้นนอกจากการเรียนรู้แล้ว เราจะพบกับการขัดเกลา บ้างก็เอาความบาปที่ซ่อนอยู่ออกไป บ้างก็เอาอุปนิสัยที่เหมือนปกติแต่มันเป็นอุปสรรคส่วนตัวในการยอมจำนน หรือทำให้เรายืดเยื้อในการตัดสินใจให้กับพระองค์ … *** ถ้าเราสัตย์ซื่อที่จะเรียนรู้ รับผิดชอบ ในสิ่งเล็กน้อยที่พระเจ้าให้กับเรา พระองค์จะเริ่มขยายขอบเขตให้ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น ลึกขึ้น และหลากหลายมากขึ้น ภาพ : การโยนลูกบอล 1 ลูกย่อมง่ายกว่าโยนพร้อมกัน 5 ลูก เมื่อพระเจ้าขยายขอบเขต order ให้เรามากกว่า 1 นั่นหมายความว่าเราจะถูกบีบให้ใช้ศักยภาพภายในมากขึ้น เต็มขนาดมากขึ้น ฝึกฝนเพิ่มเติมมากขึ้น และที่สำคัญคือ… Read More »

ธงชัยแห่งพระพร

อิสราเอลก้าวออกจากอียิปต์เพราะความหมดสิ้นหวังในชีวิตก็จริง แต่เขาก็รู้ว่าระหว่างทางเพื่อไปยังเป้าหมายคือคานาอันนั้น มีอะไรรอคอยระหว่างทางบ้าง การย้ายถิ่นฐาน การต้องต่อสู้กับอียิปต์เพื่อออกจากที่มั่นเดิม การยึดดินแดน การสู้รบและอื่นๆ รอคอยเขาอยู่เช่นกัน แต่หากไม่ข้ามทางเหล่านี้ไปก็จะถึงคานาอันไม่ได้เลย บางช่วงเวลาความไม่พร้อมและอิดออดของเรา ทำให้พระเจ้าจำต้องเลื่อนเวลาออกไปเพื่อขัดเกลาเราจนถึงเวลาที่สุกงอม ใจยอมจำนน ชีวิตยอมรับวิถีทาง แผนการณ์ น้ำพระทัยพระเจ้าและตัดสินใจก้าว แต่หากพวกเขาตัดสินใจแต่เฮือกแรกก็ใช้เวลาเพียง 11 วันแทน 40 ปี จุดเริ่มต้นในการก้าวของเราแต่ละคนคงแตกต่างกันออกไป และแน่นอนระหว่างทางการเดินไปสู่เป้าหมายของเราแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เป้าหมายยังคงรอคอยเราอยู่ตรงนั้น แต่ระยะทางที่เท่าเดิมอาจใช้เวลายาวนานหรือหดสั้นลงก็ตามแต่สิ่งที่ติดพันนัวเนียในชีวิตของเรานั่นเอง ที่ต้องถูกจัดการและลิดออก เพื่อเมื่อถึงจุดหมายแล้ว เราจะมีขนาดชีวิตที่สามารถรองรับได้อย่างเต็มศักยภาพ … ถึงกระนั้นก็ตามมีคนจำนวนมากได้ตายลงระหว่างทาง และมีคนจำนวนไม่น้อยที่หันหลังกลับ คนอีกจำนวนหนึ่งที่เลือกจะหยุดเดินและพึงพอใจกับจุดนี้มากกกว่า แต่มีคนจำนวนหนึ่งที่อุตส่าห์สู้ทน เรียนรู้และพยายาม จนเห็นพระคุณพระเจ้าท้ายที่สุดปลายทางของเขาก็ไม่เสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย 050213

การพัฒนาความสัมพันธ์ 2 แนว

การเดินกับพระเจ้ามีการพัฒนาความสัมพันธ์ 2 แนวคือ แนวลึกกับแนวกว้าง 1. แนวลึก จะยิ่งทำให้ล้ำลึกในความเข้าใจ ความรู้ถึงพระองค์ เข้าใจรายละเอียดแม้เล็กน้อย เป็นความชำนาญและลงลึกมากยิ่งๆ ขึ้นทุกวันเวลา ดำดิ่งลง ยิ่งลึกยิ่งมั่นคงและอยู่ภายในกับพระองค์มากยิ่งขึ้น หากพัฒนาความลึกมากเท่าไรพระเจ้าจะขยายขอบเขตความกว้างเอง 2.ความกว้าง แสวงหาขอบเขตที่กว้างไกลออกไป มีความเข้าใจในมุมกว้างและมองเห็นอะไรกว้างมากขึ้น รู้หลายอย่างหลายด้าน มีผลและอิทธิพลต่อคนในขอบเขตกว้างออกไป คือ จำนวนคน ท้องที่กว้างออกซ้ายขวาหน้าหลัง ** แท้จริงเราควรมีพัฒนาทั้ง 2 ด้านควบคู่กันไป แต่อีกมุมคือ แต่ละคนมีความชอบ บุคลิก ลักษณะ การทรงเรียกและสิ่งต่างๆไม่เหมือนกัน ดังนั้นการทำงานของพระเจ้าจึงเป็นไปในลักษณะต่างกัน บางคนอาจเริ่มจากลึกไปกว้าง บางคนอาจกว้างไปลึก หรือบางคนอาจได้เพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพื่อจะใช้สิ่งต่างๆ ในกันและกัน 11/03/2013 08:29

แค่มองตา ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ‏

ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้ามีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับเวลาแต่ละช่วงของชีวิตเรา … บางเวลาพระองค์เป็นพ่อ บางเวลาเป็นจอมกษัตริย์ บางทีก็เป็นสหาย บ้างก็เป็นหุ้นส่วน….อีกมากมาย ในแต่ละรูปแบบนั้นเราจะค้นพบบางสิ่งซึ่งเป็นพระพรด้วยเสมอ เคยมีบ้างไหม? บางเวลาที่พระองค์ไม่ต้องตรัสสิ่งใดกับเราเลย… แค่มองตาเรา เราก็รู้ความต้องการของพระองค์ เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่า…พระองค์ไม่จำเป็นต้องตรัสสิ่งใดหรืออธิบายอะไรยืดยาวเพื่อให้เราเข้าใจ แต่เราสามารถเข้าใจได้ในทันที เหมือนดั่งคนรู้ใจที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากก็มีบางสิ่งสื่อถึงกันได้อยู่ แล้ว อาจด้วยการรู้จักและคุ้นเคยกันมากเสียจนไม่ต้องบอกกล่าวก็รู้ได้เลย บางเวลาพระองค์ก็เป็นเช่นนั้นกับเรา…และถ้าเราสังเกตุดีๆ พระองค์ก็อยากที่จะให้เราเป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ที่พระองค์ไม่ต้องสำแดงหรือย้ำหนักย้ำหนากับเรา เราก็พร้อมจะเข้าใจและตอบสนองได้ทันที หากเราพัฒนาความสัมพันธ์มาถึงจุดนั้นแสดงว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ได้มากขึ้นแล้ว หลายครั้งเราเรียกร้องหลายสิ่งหลายอย่างกับพระเจ้าเสียจนมันแทบจะกลายเป็นเงื่อนไขหนึ่งในความสัมพันธ์ที่เราจะหยิบยื่นให้พระองค์ได้ แต่ในขณะเดียวกันหากเราโตพอที่จะคิดถึงพระองค์บ้าง เราจะรู้และเข้าใจว่า พระองค์ก็ต้องการเช่นนั้นจากเรา   ลักษณะความสัมพันธ์ 1. พระเจ้าเป็นพ่อ = ฝ่ายให้ :: เราเป็นลูก = ฝ่ายรับ 2. พระเจ้าเป็นเจ้านาย = อยู่ข้างหน้า :: เราเป็นทาส = เราตาม 3. พระเจ้าเป็นสหาย หุ้นส่วน = ทั้งให้และรับ :: เราเป็นสหายและหุ้นส่วน = ทั้งให้และรับ >> เดินไปด้วยกัน ….… Read More »

หอบาเบล

? พระเจ้าปล่อยให้มนุษย์สร้างหอบาเบลที่สูงเสียดฟ้าจนเสร็จสิ้น แล้วจึงทำลายเพื่ออะไรกัน ? แท้จริงพระเจ้าไม่ทรงรู้หรือว่ามนุษย์มีท่าทีในการสร้างสิ่งนี้เพื่ออะไร ? เวลาของพระเจ้าในแต่ละช่วง เพื่อเปิดเผยแต่ละเรื่องนั้นสำคัญไฉน พระเจ้าทรงรู้ตั้งแต่กระบวนการแรกของการลงมือสร้างหอบาเบลนี้แล้ว ทรงรู้ตั้งแต่เค้าโครงแห่งจิตใจเริ่มแรกด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้ทรงทำอันใด แต่กลับปล่อยให้มนุษย์สร้างหอบาเบลนั้นอย่างง่ายดาย ผ่านพ้นไปด้วยดี และรวดเร็ว หอนั้นมีความสูงเสียดฟ้า หวังเทียบเทียมองค์พระผู้เป็นเจ้า ยิ่งสูงขึ้นเท่าไรใจมนุษย์ผู้หยิ่งผยองยิ่งก็มากขึ้นเท่านั้น ความภาคภูมิในความสำเร็จ ในศักยภาพของตนก็ยิ่งทวีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว แท้จริงพระเจ้าทรงต้องการให้มนุษย์เห็นศักยภาพและความสามารถที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ให้กับมนุษย์เอง พวกเขาใช้ความสามารถที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้อย่างเต็มที่ เป็นการบ่งบอกถึงสิ่งที่พระเจ้าใส่ไว้ในเราแต่ละคน ไม่ได้เล็กน้อยเลย แต่ยิ่งใหญ่เพียงพอจะสร้างอะไรก็ได้ ทำสิ่งใดก็ได้ แต่สิ่งใดๆ ก็ตามที่ทำแล้วผิดแม้เริ่มต้นจะดูเหมือนไปได้ดี แต่เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าทรงจัดการ มันเป็นการง่ายสำหรับพระองค์เหลือเกินที่จะทำลายสิ่งที่มนุษย์อุตส่าห์สร้างขึ้น 1.    ศักยภาพที่พระเจ้าใส่ไว้ในเรามันมีพลังในการทำสิ่งยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน 2.    หากท่าทีหรือการกระทำใดๆ ที่ไม่ถูกต้อง แม้ดูจะไปได้ดี แต่สุดท้ายมันจะถูกโค่นลงมา โดยพระเจ้า 3.    การที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและปล่อยให้แต่ละสิ่งเป็นไป เพื่อสอนให้เรารู้และเข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระองค์ในอีกหลายๆ ด้าน พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เมื่อทรงตัดสิน ..เพียงแค่เล็กน้อยที่ทรงทำก็สามารถหยุดสิ่งที่เราคิดว่ายิ่งใหญ่เสียเต็มประดาได้อย่างง่ายดาย 200813

เล็กน้อย

แม้ข้าพเจ้าจะเล็กน้อยแต่พระเจ้าก็ไม่เคยหมิ่น แต่กลับให้เกียรติ พระเจ้าผู้แสนดีไม่เคยหมิ่นประมาทหรือประเมินคุณค่าของเราให้ด้อยค่าต่ำลงด้วยการมองว่าเราเล็กน้อย แต่ทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่แสวงหาและมีใจปรารถนาหาพระองค์เสมอ เพราะแท้จริงพระองค์ไม่เคยสร้างใครให้ด้อยหรือต่ำกว่าใครเลย แต่ทรงใส่คุณค่า ศักยภาพ ความสามารถให้แตกต่างกันในแต่ละด้าน เพื่อบรรจบลงที่การเสริมสร้าง แต่มนุษย์มักคิดผิดตามแบบฉบับของโลกที่เสื่อมลงด้วยบาปแห่งการแก่งแย่งชิงดีและแข่งขัน ยอมรับไม่ได้ที่ตนเองจะมีน้อยกว่าผู้อื่นในบางด้าน ไขว่คว้าที่จะอยู่เหนือกว่าผู้อื่นในทุกๆ ด้าน จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วในบางด้านเราเองก็เด่นกว่า เหนือกว่า เพราะพระเจ้าปรารถนาให้ความสัมพันธ์เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันโดยการพึ่งพากันและกัน และมนุษย์ต่อพระเจ้าโดยการพึ่งพาพระองค์ สิ่งที่จุดประกายทำให้คนเรามองว่าตนเองเล็กน้อย คือ การไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนมี หรือเท่ากับไม่พอใจในสิ่งที่พระเจ้าให้ หรือเท่ากับต่อว่าพระเจ้าว่าบกพร่องนั่นเอง อยากจะมี อยากจะได้ อยากจะเป็นแบบที่คนอื่นเป็น มี ได้… แท้จริงพระเจ้าทรงสมบูรณ์รอบด้าน ทั้งเงื่อนเวลา ปริมาณ คุณภาพ ทั้งปลีกย่อยและภาพรวม ทั้งมิติกาย ใจ วิญญาณ มนุษย์หรือจะเทียบเท่า… ไม่ติดแม้แต่ผงฝุ่น ดังนั้นการภาคภูมิใจในสิ่งที่พระเจ้าให้เป็นความมั่นคงในพระเจ้าผู้ทรงสร้าง และประหารเนื้อหนังที่ตั้งตนเป็นใหญ่ต่อสู้พระเจ้า … มีหรือ? ที่พระเจ้าจะทอดทิ้งคนที่รักพระองค์ เพราะด้วยพระสัญญาแล้วจะไม่ทรงทอดทิ้งผู้ที่รักพระองค์เป็นแน่ อีกทั้งพระลักษณะที่เป็นความรักที่แสนมั่นคงจึงไม่ทรงปล่อยให้เราต้องขาดสิ่งดีอันใด คำว่า “เล็กน้อย” หมายถึง เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ไม่ได้หมายถึง เมื่อเทียบกับมนุษย์ด้วยกัน เพราะเราไม่ได้เล็กน้อยกว่าใครเลย 14/01/2014 11:38

ทางผ่านหรือภาชนะ

พระเจ้าไม่ทรงจำกัด และด้วยพระลักษณะนี้เอง การทำงานของพระองค์ก็ไม่จำกัดด้วยเช่นกัน 1.    ทางผ่าน ◊ คือ เป็นสิ่งที่พระเจ้าใช้เพื่อผ่านไปยังเป้าหมาย ซึ่งทางผ่านเป็นเพียงวิธีการหรือกระบวนการหนึ่งเท่านั้น อาจเป็นคน สภาพแวดล้อม หรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่พระองค์ทรงทำและทรงสามารถอย่างแน่นอน ◊ นั่นหมายความว่าทางผ่านไม่ใช่เป้าหมาย อย่าให้ตาหรือใจจดจ่อและด่วนสรุปผิดที่ผิดทาง หมายว่าทางผ่านคือเป้าหมาย เพราะมันอาจเบี่ยงเบนความสนใจและทำให้หยุดชะงักได้ ◊ ทางผ่านเป็นได้ทั้ง พระพรและอุปสรรค แต่ปลายทางคือพระพรอย่างแน่นอน พระเจ้าทรงสร้างเราได้ทั้งจากความสะดวกสบายและใช้อุปสรรคเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและหนักแน่นให้เราได้ด้วย ◊ ทั้งนี้เราต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า ทางผ่านเป็นเพียงอุปกรณ์หนึ่งที่พระเจ้าทรงทำขึ้นเพื่อให้เราก้าวต่อไป แต่บางคนอาจล้มลงและหยุดอยู่ที่ทางผ่านด้วยความยากเย็นแสนลำเค็ญ เพราะขาดการพึ่งพาพระคุณพระเจ้า จึงทำให้ไม่สามารถก้าวต่อไปได้ แท้ที่จริงทางผ่านจะไม่มีผลใดๆ ต่อชีวิตเราเลย มันไม่สามารถทำลายหรือทำร้ายเราได้ เพียงแค่เราต้องเดินผ่านมันออกไปจนถึงปลายทางให้ได้เท่านั้น ในทางตรงกันข้ามบางเวลาพระเจ้าก็ใช้ทางผ่านนี้เองในการให้เราก้าวไปสู่สิ่งซึ่งสมบูรณ์ แต่บางคนกลับพึงพอใจกับทางผ่านเสียมากกว่าและหยุดเดิน รับเพียงพระพรหยุมหยิมที่ทางผ่าน นั่นเพราะสายตาที่สั้น ขาดวิสัยทัศน์ที่มั่นคงต่อจุดหมายปลายทาง ◊ ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตาม….ทางผ่านมีไว้เพียงแค่ให้เราผ่านมันไปให้ได้ จนถึงจุดหมายปลายทาง นั่นจึงเรียกว่า “สำเร็จ” และไม่ควรใช้เวลากับทางผ่านเนิ่นนานเกินไป เกินกว่าที่พระเจ้าให้เรา เพราะมันอาจทำให้เราทั้งบั่นทอนและพึงพอใจจนลืมตัว ละทิ้งจุดหมายได้อย่างง่ายดาย 1.1 ทางผ่านแง่บวก พระเจ้าอาจส่งใครบางคน หรือสถานการณ์บางอย่างเข้ามาเพื่อสนับสนุนเราให้ก้าวไปได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น ผู้นำ ระบบการสร้างของ คจ.… Read More »