Category Archives: สีสันชีวิต

○ สะท้อนความงดงามผ่านกระบวนการต่างๆ ที่พระเจ้าสร้างในชีวิตส่วนตัวข้าพเจ้าเอง
○ นำเสนอทัศนะ รูปแบบตามบุคลิกภาพและจุดยืนที่พระเจ้าเรียกในชีวิตข้าพเจ้าเอง

เชื่อในส่วนดี

เมื่อเราไม่เข้าใจในสิ่งที่คนๆ หนึ่งทำ ควรคิดในใจก่อนว่า “เขาคงมีเหตุผลของเขา” และแม้เหตุผลของเขาไม่เป็นที่เข้าใจได้เลย อย่างน้อยที่สุด การให้เกียรติเขาย่อมเป็นการดีที่สุด… ใครจะรู้ว่าเขาอาจกำลังเผชิญสิ่งที่ยากอยู่ อย่าบั่นทอนผู้อื่นด้วยการเอาความคิดเห็นส่วนตัวของเราเอง (หรือแม้แต่ของคนอื่น) มาวัดคนๆนี้ เพราะแต่ละคนพระเจ้าเรียก และสร้างไม่เหมือนกัน เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ชีวิตอยู่แล้วว่า สิ่งที่เขาทำเป็นอย่างไร ถูกหรือผิด สมควรหรือไม่ สำเร็จหรือล้มเหลว เพราะการสงวนการตัดสินย่อมดีกว่า เพราะพระเจ้าไม่ได้ตั้งเราไว้สำหรับการนั้น   เชื่อในส่วนดี 1. การให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ควรกระทำ แทนการวิพากษ์วิจารณ์ 2. หากเราไม่สามารถสนับสนุนผู้อื่นได้ การให้เกียรติก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะไม่บั่นทอนเขา ซึ่งเป็นการสนับสนุนทางอ้อม 3. พระเจ้าไม่ได้ตั้งเราให้เป็นผู้พิพากษา การสงวนทุกทาง เพื่อให้ตัวเราเองเดินอย่างถูกต้องย่อมเป็นเหตุให้เราไม่สูญเสียพระพรที่สมควรได้รับ 4. การที่คนๆ หนึ่งไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากนักในสิ่งที่เขาทำ ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดบทสรุปว่า เขาทำผิด… ซึ่งเขาอาจจะกำลังทำในสิ่งที่ถูกจุดมากกว่าใครก็เป็นได้   22/07/2014 10:19

เมื่อพระเจ้าเรียกร้อง จงตอบสนองทันที

*** “เมื่อพระเจ้าเรียกต้องตอบสนองทันที ต่างจากการได้รับนิมิตเพื่ออนาคต” *** การเรียกร้อง มักเกิดขึ้น แบบทันทีทันใด ให้ตอบสนองทันที ไม่มีเงื่อนไขเรื่องการรอเวลา ตัวอย่าง เมื่อพระเยซูเรียกสาวก นั่นหมายถึง การปรารถนาให้ตามทันที … ไม่ใช่รอก่อน  เดี๋ยวก่อน พระองค์ไม่ได้ยืนรอ หรือบอกว่าไว้เจอกันนะ ไม่ได้ทรงบอกว่าจัดการเรื่องตัวเองเสร็จแล้วค่อยตามมานะ มธ.8:21-22 8:21 อีกคนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน” 8:22 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด” ลก.9:59-62 9:59 พระองค์ตรัสแก่อีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่คนนั้นทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน” 9:60 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด แต่ส่วนท่านจงไปประกาศอาณาจักรของพระเจ้า” 9:61 อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาคนที่อยู่ในบ้านของข้าพระองค์ก่อน” 9:62 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้วหันหน้ากลับเสีย ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับอาณาจักรของพระเจ้า” พระเยซูเรียกสาวกให้ติดตามพระองค์ เพราะนั่นคือ เวลาของพวกเขาแล้ว เวลาของพวกเขาได้มาถึงแล้ว หรือเรียกอีกอย่างว่า แผ่นดินของพระเจ้าได้มาตั้งอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว… แต่พวกเขาขอไปลาพ่อก่อน… Read More »

พระเจ้าใช้เฉพาะกิจ

คนบางคนไม่สามารถรักษาชีวิตให้คงเส้นคงวากับพระเจ้าได้ (ขึ้นๆ ลงๆ) แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าพระเจ้าจะเมินหน้าหนีจากเขาไม่…. พระเจ้าจะมีวาระที่ใช้คนประเภทนี้เป็นครั้งคราว เป็นภาระกิจสั้นๆ ไม่ยาวนาน ไม่ต่อเนื่อง เนื่องจากการรักษาชีวิตส่วนตัวของเขาเองเป็นตัวกำหนด *** ไม่มีใครในโลกที่พระเจ้าใช้ไม่ได้  ไม่มีใครด้อยคุณภาพเกินกว่าที่พระเจ้าจะใช้ได้ ขนาดลาพระองค์ยังใช้ได้เลย นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่สะท้อนพระฉายของพระองค์ *** กดว.22:21-33 22:21 ดังนั้นรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลา ไปกับเจ้านายแห่งโมอับ 22:22 แต่พระเจ้าทรงกริ้วต่อบาลาอัมเพราะเขาไป ดังนั้นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มายืนเป็นผู้สกัดทางบาลาอัมไว้ ฝ่ายบาลาอัมขี่ลามีคนใช้สองคนไปกับเขา 22:23 เมื่อลานั้นเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง ลาก็เลี้ยวออกนอกทาง เข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมจึงตีลาให้กลับไปทางเดิม 22:24 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มายืนอยู่ในทางแคบระหว่างสวนองุ่น มีกำแพงทั้งสองข้างทาง 22:25 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มันก็ดันไปติดกำแพง หนีบเท้าของบาลาอัมเข้ากับกำแพง บาลาอัมก็ตีลาอีก 22:26 แล้วทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็เดินไปข้างหน้ายืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย 22:27 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มันก็หมอบลง บาลาอัมยังคงนั่งอยู่บนหลัง บาลาอัมก็โกรธ จึงเอาไม้เท้าของเขาตีลา 22:28 แล้วพระเยโฮวาห์เปิดปากลา มันจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงได้ตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง” 22:29 บาลาอัมพูดกับลาว่า “เพราะเจ้าได้แกล้งเรา เราอยากจะมีดาบอยู่ในมือเดี๋ยวนี้ เราจะได้ฆ่าเจ้าเสีย” 22:30 ลาก็พูดกับบาลาอัมว่า… Read More »

หน้าที่ผู้สนับสนุน

เราแต่ละคนย่อมมีบทบาทหน้าที่ที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาเพื่อนำ บางคนเกิดมาเพื่อสนับสนุน บางคนเกิดมาเพื่อนำแต่พระเจ้าให้สนับสนุนในบางเวลา บางเวลาอยู่ในตำแหน่งสนับสนุนแต่พระเจ้าให้นำบางครั้งครา ซึ่งบทบาทของแต่ละคนไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งใดก็ตามไม่มีผลต่อการยกหรือลดทอน ระดับคุณค่าในชีวิต พระเจ้าทรงให้คุณค่าเราตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้วไม่ว่าเราจะเป็นใคร เป็นคนแบบไหนก็ตาม ดังนั้นไม่ว่าเราจะได้รับบทบาทอะไร ยืนอยู่ในตำแหน่งอะไร นั่นล้วนเป็นสิ่งที่ทรงเกียรติและน่าภาคภูมิอย่างที่สุด หากจุดที่เรายืนเป็นจุดที่พระเจ้าเป็นผู้จัดวางเราไว้ สิ่งสำคัญคือ การเรียนรู้ที่จะพัฒนาและเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มากที่สุดในบทบาทของตนเอง เป็นความสุขและสนุกเพราะมันมีความลึกและกว้าง มีบทเรียนที่สดใหม่ มีสิ่งที่ต้องปล้ำสู้และไปให้ถึงในตัวของมันเอง หากเราไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนา พระเจ้าทรงสามารถสอนเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งตัวเราเองอาจเปลี่ยนความคิดแต่เดิมที่เคยมีเลยทีเดียว ความยิ่งใหญ่ไม่ใช่ปริมาณหรือขนาดของงานที่ทำ แต่คือการได้เรียนรู้จักองค์มหัศจรรย์และการได้ก้าวไปกับพระองค์ทีละก้าวที ละขั้น แม้ทำเหมือนเดิมแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือความสัมพันธ์ที่พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ ความใกล้ชิดที่ทรงให้เกียรติเราซึ่งเป็นเพียงมนุษย์ผงคลีได้มีส่วนร่วมไปกับพระองค์ในแต่ละเรื่อง แต่ละเวลา ซึ่งเราแต่ละคนจะถูกเรียกให้มีส่วนร่วมแตกต่างกัน งาน พันธกิจและการทรงเรียกของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกมีมากมายเป็นล้านๆ เรื่องจนนับกันไม่ไหวเลยทีเดียว เราสามารถทำได้เพียงแยกหมวดหมู่ประเภทใหญ่ๆ แต่รายละเอียดปลีกย่อยอยู่ที่เราผู้ตัดสินใจเลือกที่จะเดินตามพระเจ้าในชีวิตเอง เมื่อพระเจ้าได้มอบหมายภาระกิจให้กับเรา นั่นหมายถึงพระองค์ทรงจัดวางตำแหน่งและบทบาทให้กับเราเป็นอย่างดีแล้ว มันย่อมเกิดผลแน่นอน!! หากเราตอบสนองและทำตามด้วยใจเชื่อฟัง และหลายครั้งด้วยความคิดของเรา สายตาของมนุษย์ ก็อาจมีข้อโต้แย้ง… ไม่ว่าจะผุดมาทางความคิด ที่ไม่ตรงกับความคิดและประสบการณ์ที่ผ่านๆมา หรือจิตใจภายใน ไม่ได้ดั่งใจ … ก็แน่นอนไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราไปซะทุกอย่าง หรืออารมณ์ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเข้าใจหรือเห็นชอบ … แต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตามสิ่งเหล่านั้นต้องไม่มีผลต่อการยืนในบทบาทที่พระเจ้า มอบหมายกับเรา มันเป็นความรับผิดชอบตรงที่เราต้องมีต่อพระเจ้า หากพระเจ้าเรียกเราให้สนับสนุนหรือมอบหมายภาระกิจแห่งการสนับสนุนให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นด้านใดหรืองานใดก็ตาม หน้าที่ของเราคือ…… Read More »

เชื่อแล้วเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

เพราะเชื่อจึงได้รับ แต่เมื่อได้รับแล้วกลับไม่เชื่อว่าที่ได้มาเพราะความเชื่อ หรือพระเจ้าให้ สุดท้ายย้อนกลับมาที่ไม่เชื่อ ทำให้การได้รับนี้สิ้นสุดลงที่ตรงนี้ = ไม่เชื่อแต่แรกแล้ว พระเจ้าพิสูจน์พระองค์เองว่าทรงสัตย์ซื่อในการอวยพรตามความเชื่อเสมอ แต่เมื่อได้รับแล้ว ผู้ที่สงสัยกลับลบล้างสิ่งที่พระเจ้าให้ด้วยความสงสัยว่า…นั่นมาจากพระเจ้าจริงหรือ? คิดสงสัยว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า … ความคิดนี้ทำให้ลบล้างความเชื่อเริ่มต้นเสียสิ้น ดังนั้นที่ควรได้รับจึงสิ้นสุด การไปต่อก็สิ้นสุดด้วย เพราะไม่มีความเชื่อแล้ว แต่คนที่เชื่อแล้วได้รับ แล้วมั่นใจว่าที่ตนได้รับมา จากพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่พระจ้าทำ ทำให้ความเชื่อต่อยอดความเชื่อ จึงได้รับพระพรต่อยอดพระพร ไม่สิ้นสุด ได้แล้วได้อีก ยิ่งได้ยิ่งเชื่อ ยิ่งเชื่อยิ่งได้รับ เป็นเหมือนวงกลมที่ส่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด   เชื่อแล้วเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า 29/05/2014 13:42

สิทธิอำนาจพื้นฐานที่พระเจ้าใส่ให้ทุกคน

แท้จริงพระเจ้าให้สิทธิการครอบครองกับมนุษย์ ไว้หลายสิ่งมากมายบนแผ่นดินโลกนี้ แต่การได้ครอบครองไว้ในมือของตนนั้น ก็ตามแต่ว่าใครจะสามารถฉวยและคว้ามาเป็นของตนเองได้มากแค่ไหน ด้วยเงื่อนไขชีวิตแต่ละด้านที่สัมพันธ์ตรงกับสิ่งนั้นๆ หากแต่สิ่งที่พระเจ้าให้กับเราไว้ในครอบครองอยู่แล้ว อยู่ในอำนาจของเราอยู่แล้ว แต่กลับไม่สามารถจัดการและควบคุมมันให้อยู่มือ … แทนที่จะครอบครองมัน กลับปล่อยให้มันมีอิทธิพลและส่งผลเสียมากมายต่อชีวตของเรา และเกียรติของพระเจ้า  ก็เป็นการยากที่จะได้ครอบครองในสิ่งที่มากขึ้น  เนื่องจากแค่สิ่งที่มีอยู่ในมือยังไม่สามารถทำได้ แล้วจะหวังอะไรกับสิ่งที่มากขึ้นได้หรือ? หากสิ่งที่มีอยู่ภายในมือ ยังไม่สามารถครอบครองได้ แล้วจะครอบครองสิ่งภายนอกได้หรือ ? พระเจ้าออกแบบการสร้างอย่างเป็นระบบระเบียบขั้นตอน รวมถึงการขยายขอบเขตการครอบครองในชีวิตของเราด้วยเช่นกัน ต้องเป็นไปทีละขั้นทีละตอน ขยายวงกว้างออกมากขึ้นเรื่อยๆ จากเล็กไปใหญ่  , จากแคบไปกว้างและกว้างมากขึ้นๆ *** อย่างน้อยที่สุด พระเจ้าได้ให้เราแต่ละคนมีสิทธิอย่างเต็มขนาดในการครอบครองร่างกายของเรา ปาก หู ลิ้น จมูก มือ เท้า… ทุกส่วนของเรา แต่หลายครั้งกลับปล่อยปละละเลย ไม่สนใจที่จะครอบครองร่างกายของตนเอง เช่น ปล่อยให้ลิ้นสามารถนำความเสียหาย ด้วยการอยากพูดอะไรก็ได้  ทั้งเป็นแง่ลบ นำคำแช่งสาปก็ไม่สนใจ… สักแต่ว่าอยากจะใช้ปากเท่านั้น  และพระเจ้าก็ทำให้เห็นว่า… สิทธิอำนาจที่พระเจ้ามอบให้เราครอบครองนั้นเป็นจริง ด้วยการ กล่าวสิ่งใดได้สิ่งนั้น , หว่านอะไรเกี่ยวสิ่งนั้น หลายครั้งใช่ว่าเราไม่รู้ความจริงนี้ แต่… ไม่ตระหนักและไม่สนใจที่จะยึดสิ่งที่เป็นของเราไว้อย่างแน่นหนา   สิทธิอำนาจพื้นฐานที่พระเจ้าใส่ให้ทุกคน… Read More »

การจ่ายราคาแบบโมเสสและอับราฮัม

การจ่ายราคาแบบโมเสส กว่าโมเสสจะยอมจ่ายราคา ยอมก้าวตามที่พระเจ้าตรัสสั่งและเรียกเขา ต้องมีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์เป็นเสมือนมัดจำในความเชื่อก่อน –    พุ่มไม้เป็นไฟ –    ไม้เท้าเป็นงู –    ฟาโรห์องค์เดิมตาย –    ให้อาโรนมาพูดแทน พระเจ้าได้กุยทางให้โมเสสเป็นอย่างมากเพื่อให้เขาตอบสนองและเดินตาม แต่พัฒนาการด้านการจ่ายราคาของโมเสสก็พลิกชีวิตของเขา … จากเดิมต้องเห็นผลตอบแทน หรือได้รับอะไรกลับมาก่อนเขาจึงจะก้าว >> ก็เปลี่ยนเป็น >> แม้ยังไม่ได้อะไร ถ้าพระเจ้าตรัสเขาจะจ่ายออกไปก่อน เพื่อให้พระเจ้ารับรองเขา –    ต้องยกมือออกไปก่อน ทะเลจึงจะแหวกออก >> เขาเรียนรู้จักที่จะจ่ายราคา โดยการยื่นมือออกไปก่อน แทนการรอให้ทะเลแหวกเสียก่อนเขาจึงยอมยื่นมือออกไปและก้าวเท้าออกไป –    ต้องขึ้นภูเขาแยกตัวมาหาพระเจ้าก่อน จึงจะได้บัญญัติ 10 ประการ เพื่อชนอิสราเอล >> เขาก้าวขึ้นภูเขาของพระเจ้าในขณะที่ทรงเรียกทันที แทนที่จะรอให้รู้ก่อนว่าขึ้นไปจะได้อะไรกลับมา จะมีอะไรรออยู่ข้างหน้า แต่เขาไปเพราะเขาต้องการพบพระเจ้า การจ่ายราคาแบบอับราฮัม อับราฮัมเป็นคนที่ได้ชื่อว่า  “บิดาแห่งความเชื่อ”  เนื่องจากเขาเป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสสั่งเขา โดยที่ไม่มีการให้อะไรกับเขาเป็นที่รับรอง (มัดจำ) ก่อนเลย  **แต่เขากลับก้าวเดินตามทันที**  แม้สิ่งที่พระเจ้าสัญญาจะยังมองไม่เห็น ไม่ว่าจะดินแดนพระสัญญาที่ไม่เคยรู้จัก , หรือการมีลูกหลานมากมายดุจดั่งดวงดาวในท้องฟ้า เม็ดทรายในทะเล ขณะที่ตนแก่มาก… Read More »

เสียงของพระเจ้าต่อโมเสสเป็นอย่างไร

ในการทำหมายสำคัญทั้ง 10 ประการในอียิปต์ โมเสสได้ยินเสียงตรัสของพระเจ้าอย่างชัดเจน ถึงวิธีการและผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ถึงวันเวลาอย่างเจาะจง แต่ชนอิสราเอลไม่ได้ยินด้วย ในขณะที่โมเสสได้ยินเสียงตรัสของพระเจ้าในการแหวกทะเลแดง ประชากรอิสราเอลไม่ได้ยินด้วย ?? เสียงของพระเจ้าเป็นเช่นไรกัน ? เหตุไฉนคนหนึ่งได้ยิน แต่คนอีกจำนวนมากกลับไม่ได้ยิน ? จริงหรือที่บางคนเท่านั้นที่ได้ยินเสียงตรัสของพระเจ้า   เสียงของพระเจ้าต่อโมเสสเป็นอย่างไร *** แท้จริงเสียงตรัสของพระเจ้านั้นแผ่วเบาเหลือเกิน แต่มันกลับชัดเจนและหนักแน่น สำหรับคนที่วางใจและปรารถนาจะเชื่อฟังพระองค์ จนผลักดันความเชื่อภายในออกมา ในขณะนั้นยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่มีอะไรให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างตามคำตรัส ดังนั้นสำหรับคนที่คิดมาก ใช้สารพัดตรรกะเพื่อลบล้างหมายจะไม่ต้องเชื่อฟัง ย่อมไม่มีทางได้เห็นหรือได้ทำอัศจรรย์เป็นแน่ ไม่มีใครลงทุนกับคนที่ไม่สามารถไว้วางใจได้ฉันใด คนที่ไม่สามารถวางใจในพระเจ้าได้ย่อมไม่ได้รับผลกำไรอันเป็นอัศจรรย์กลับมา *** ?? เราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าคนๆ นี้ ได้ยินเสียงพระเจ้าจริง ก็ด้วยผลที่เกิดขึ้น ไม่มีใครได้ยินเสียงพระเจ้าตรัสกับโมเสสทั้งๆ ที่ทุกคนก็ยืนอยู่ตรงนั้น แต่ผลคือ…ทะเลแหวกออกเมื่อเขายื่นมือเหนือทะเล , ภัยพิบัติเกิดขึ้นทันทีที่เขาทำบางอย่าง เช่น โยนไม้เท้า , ตีน้ำ , ตีพื้นดิน , กล่าวถ้อยคำ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีใครทำเองได้ แม้นักมายากลระดับต้นๆ ของอียิปต์ยังพ่ายแพ้ เพราะมันไม่ได้มาจากมือมนุษย์… Read More »

คนในยุคนี้… ช่างมีความเชื่อน้อยเสียเหลือเกิน

? เหตุใดพระเยซูจึงมักตำหนิว่า “คนในยุคนี้ ช่างมีความเชื่อน้อยเสียเหลือเกิน” คำตรัสนี้สะท้อนบางสิ่งบางอย่างให้เราได้เห็น ได้เรียนรู้ พวกเขาไม่กล้ามอบถวายให้พระเจ้า เพราะว่าลึกๆ เขาไม่เชื่อในความสามารถของพระเจ้า…ว่า… •    พระองค์ยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะช่วยเขาได้ •    พระเจ้าจะมาทันเวลา   •    พระองค์จะกอบกู้ คนจำนวนมาก จึงเลือกที่จะตัดสินใจสิ่งต่างๆ ตามความรู้สึก ความคิด และตามแผนการณ์ของตนเอง ด้วยแรงกำลังความสามารถและประสบการณ์ของเขา โดยใช้กระบวนการประมวลผล ชั่งตวงน้ำหนัก ของผลประโยชน์ที่จะได้กลับมา … แทนที่ความเชื่อ … เพราะความเชื่อวางใจเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น วัดไม่ได้ เว้นเสียแต่ต้องเสี่ยงลงทุน ด้วยหัวใจจ่ายออกไปก่อน  ดังนั้นผู้ที่จะเชื่อฟังได้  จึงต้องสงบนิ่งเสียก่อน ฮบ.11:1  บัดนี้ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นหลักฐานมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง เป็นไปได้หรือ? ที่พระเจ้าจะเสี่ยงกับเรา เพียงแค่เรื่องเล็กน้อย เพื่อลบพระลักษณะแท้แต่ดั้งเดิมที่ทรงเป็นอยู่นิรันดรนั้น ด้วยการผิดจากที่พระองค์ตรัส หรือสัญญา … แท้จริงคนที่เชื่อไม่ได้ คือ คนที่ไม่รู้จักกับพระลักษณะแท้ของพระเจ้าในแต่ละด้านต่างหาก … ทรงมีพระนามว่า “เราเป็น” ♣ ♣ ♣ ปัญหาของเรา… Read More »