Category Archives: ความจริงอีกด้าน

○ ประสบการณ์ตรงบางส่วนเล็กๆ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
¤ สรรค์
¤ นรก
¤ แดนมรณา
¤ ทูตสวรรค์

เรื่องของคนต้นคนปลาย

– เด็กที่มีพัฒนาการดีขึ้น .. ย่อมดีกว่า .. ผู้ใหญ่ที่ถดถอยลง – คนเล็กน้อยที่ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้น .. ย่อมน่าภาคภูมิใจกว่า .. คนใหญ่โตที่ถอยหลัง– คนทำอะไรไม่เป็น ที่มีพัฒนาการมากขึ้น .. ย่อมชื่นใจกว่า .. คนเก่งกาจที่ถอยหลังลงเรื่อยๆ หรือ หยุดการพัฒนา– เต่าที่ค่อยๆ คลาน .. ย่อมได้รับชัยชนะกว่า .. กระต่ายที่แอบหลับ คนต้นในวันนี้ หากละทิ้ง และ เกียจคร้าน ก็ย่อมถดถอย .. แม้อยู่กับที่ แต่ก็สามารถถูกแซง เพราะความเพียรอย่างไม่ลดละของคนสัตย์ซื่อคนปลายในวันนี้ อาจกลับกลายเป็นคนต้น ในสักวันก็เป็นได้ หากยังคงสัตย์ซื่อไม่ลดละ   เรื่องของคนต้นคนปลาย   1. รักษาระยะของตน ไม่หยุดนิ่ง ไม่ถอยหลัง ไม่เลิกรา 2. พากเพียร สัตย์ซื่อในทางของตน สิ่งเล็กน้อยจะค่อยๆ เติบโตขึ้น ทั้ง ความรู้ ,… Read More »

สวรรค์ : ทำสิ่งเดียวกับพระเยซู

ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวข้างหน้าข้าพเจ้า ก้มหน้าอย่างสงบ มือประสานกัน เวลาผ่านไปนานแล้วนานเล่า  เขายังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมนั้น แน่นอนทันทีที่มองเห็นก็รู้ว่า “เขากำลังอธิษฐานอยู่”… เวลาผ่านไปแสนเนิ่นนาน อย่างเงียบๆ ข้าพเจ้ายังคงเรียกหาพระเยซูอยู่ภายในด้วยใจภาวนา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตรัสขึ้นภายใน “เจ้าไม่เห็นหรือว่า พระเยซูกำลังอธิษฐานอยู่” ข้าพเจ้ารู้ทันทีเลยว่า ทรงหมายถึง ชายผู้นั่งตรงหน้าข้าพเจ้า พระองค์ คือ พระเยซูนั่นเอง !!! เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ เนิ่นนาน  แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงเรียกหาพระเยซูอย่างไม่หยุดหย่อน  .. แม้จะทรงนั่งอยู่ตรงหน้า แต่ใจภายใน กลับไม่ยอมหยุดที่จะเรียกร้องหาพระองค์ ข้าพเจ้าก็ยังคงเรียกหาพระองค์ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อนเลย ใจสั่นระรัว เสมือนว่า จะเร่งเร้าให้พระองค์ตรัสบางสิ่ง หรือ อะไรก็ได้กับข้าพเจ้า ด้วยใจที่คาดหวัง ดูเหมือนจะเร่งรัดๆ ให้เร็วขึ้น … แต่พระองค์ยังทรงนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น โดยไม่ได้หันมามองข้าพเจ้าเลยสักนิด++ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงตรัสว่า “พระองค์ก็ทรงอยู่ตรงนี้แล้วมิใช่หรือ???” ทรงปลอบโยนข้าพเจ้าให้ใจเย็นลง สงบลงทีละเล็กละน้อย ข้าพเจ้าค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนจากการเรียกหาพระองค์ เป็นร้องขอ การสอน และ ความเข้าใจ  … “ทำไมไม่เห็นเข้าใจเลยในสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า” … ได้แต่นึกคิดเองตามธรรมชาติว่า… Read More »

สวรรค์ : ตาชั่งที่เที่ยงตรงของพระเยซู

พระเยซูเสด็จประทับนั่งบนบัลลังก์ เมื่อทรงนั่งลงทุกสิ่งล้วนน้อมถ่อมลง และ หมดเวลาสำหรับการต่อเวลาให้ยืดยาวออกไป พระหัตถ์ขวาของพระองค์ถือลูกตุ้มใหญ่มีโซ่ยาวประมาณคืบ ด้านหนึ่งเป็นลูกตุ้ม ด้านหนึ่งเป็นขอเกี่ยว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตรัสว่า “เมื่อใดที่พระเยซูทรงประทับนั่งลงบนบัลลังก์ เมื่อนั้นวันเวลาแห่งการตัดสินจะมาถึง เวลายุติของการให้โอกาสจะหมดลง” ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความว้าวุ่นที่อยู่ไม่เป็นสุข พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตรัสต่อ “นั่นแหละจะเป็นความวุ่นวายของแผ่นดินโลก และ ผู้ที่อิดออด ไม่ยอมกลับใจ พวกเขาว้าวุ่น ปรารถนาจะต่อเวลาออกไป แต่นี่แหนะ.. หมดเวลาลงแล้ว!!!” ข้าพเจ้ามองดู และ รู้ว่า ทันทีที่พระเยซูหย่อนตัวลงถึงบัลลังก์ นั่น คือ การตัดสินว่า … “เวลานั้นมาแล้ว” ข้าพเจ้าครุ่นคิดภายในว่า “โอ้ ยังก่อน อีกสักนิด เพราะอีกฟากหนึ่งกลับมองเห็นว่าโลกยังคงเดินไป ผู้คนยังคงอิ่มหนำต่อการใช้ชีวิตเยี่ยงเดิม ไม่ทุกข์ร้อน ไม่กลับใจ ไม่ตื่นตัวเลย” สายตาข้าพเจ้าจ้องมองดูที่พระหัตถ์ของพระเยซู ก็รู้ทันทีว่านั่น คือ “ตาชั่งที่แสนจะยุติธรรม” ใจหนึ่งก็รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และ มั่นใจมากๆ เป็นความรู้สึกที่เป็นพยานฝ่ายเราเองที่ได้ยืนต่อหน้าพระองค์ … แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ทั้งรู้ว่า  ด้วยความเที่ยงตรงนั้นเอง ผู้คนจำนวนมากจะต้องถูกลงโทษ ด้วยตาชั่งนั้นจะฟ้องกลับไปยังทุกคนว่าเป็นอย่างไร? … ใจภายในกลับรู้สึกร้อนรุ่ม… Read More »

สวรรค์ : จงไปต่อ ก้าวต่อไป

 “ต่อแต่นี้จงลุกขึ้นเดินและก้าวไปข้างหน้า หลังจากได้พักแล้ว (3 อาทิตย์นับจากการเยี่ยมเยียนของพระเจ้า) บัดนี้ถึงเวลาออกมาแล้ว เราจะนำเจ้าออกมาเอง จงก้าวออกมาเถิด เพราะบัดนี้เป็นเวลาที่เราจะทำในเจ้าต่อไปแล้ว” พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างชัดเจน ข้าพเจ้าถามพระองค์ว่า “จะให้ข้าพระองค์ไปอย่างไร อย่างอับราฮัมหรือ? ที่ก้าวทันทีที่พระองค์ทรงเรียกโดยที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเป็นอย่างไร? หรือจะให้ก้าวแบบไหนคะ?” พระเจ้าทรงตรัสตอบว่า “เราจะนำเจ้าออกมาเอง เจ้าต้องเดินตามเรามา” ในขณะนั้นเองพระเยซูทรงปรากฏต่อข้าพเจ้าเป็นนิมิตที่เห็นกับตา… พระเยซูทรงเรียกขณะที่ข้าพเจ้านั่งคุกเข่าอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ทรงยื่นมือมาแตะที่ไหล่ขวาด้านหลัง แล้วทรงตรัสว่า “ลูกเอ๋ยลุกขึ้นเถิด ไปกับเรา และตามเรามา” ทรงมองด้วยความอ่อนโยนและยิ้มให้ด้วยความอบอุ่นอย่างเคย พร้อมพยักหน้าเมื่อทรงตรัสเสร็จ แล้วก็ทรงเดินนำหน้าไป ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นทันทีเดินตามพระองค์ไป และเร่งฝีเท้าให้ทันพระองค์พร้อมทั้งยื่นมือของตัวเองออกไปจับพระหัตถ์พระเยซูเสมือนเด็กน้อยที่กำลังวิ่งตามให้ทันพ่อ ภายในของข้าพเจ้าทั้งตื่นเต้นและกลัวจะพลาดไปจากพระองค์ มือของข้าพเจ้าจับมือพระองค์ไว้แน่น  พยายามเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดิน เพื่อที่จะก้าวให้ทันพระเยซู ในขณะที่ทรงก้าวอย่างช้าๆ สบายๆ … เราทั้ง 2 กำลังเดินมุ่งไปข้างหน้า … ทรงทอดพระเนตรมองดูข้าพเจ้าเดินและตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า” ทรงยิ้มให้ด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างเป็นมิตรตลอดเวลา ข้าพเจ้ารู้สึกคุ้นเคยและสบายใจยิ่งนัก ข้าพเจ้ารู้ว่า… ทรงรู้ในทุกความคิด ภายในของข้าพเจ้าจริงๆ เป็นความมั่นใจมากยิ่งขึ้นที่จะก้าวต่อไป เมื่อมองไปที่เบื้องหน้าก็เห็นประตูบานใหญ่มหึมา สีขาวเป็นปูนทึบ สูงกว่าตัวข้าพเจ้าหลายเท่าประมาณ 3-4 เท่า… Read More »

นรก : แนวการกระทำ

ภาพ : คนหนึ่งกำลังใช้จอบขุดหลุมที่ใหญ่มากๆ ใหญ่เกินกว่าขนาดตัวของเขาเอง และตัวเขาก็ไม่หยุดที่จะขุดหลุมนั้น  ข้างลำตัวของเขาเป็นเหมือนถุงสีดำใบใหญ่เขียนว่า ‘แนวการกระทำ’ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงมองดูเถิด ว่าเขากำลังทำสิ่งใด” ข้าพเจ้าเพ่งมองดูอยู่นาน เขาก็ยังคงทำเช่นนั้นไม่รู้จักหยุดหย่อน ใจภายในของข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดกับการที่เขาทำเช่นนั้นอยู่ร่ำไป เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองสิ่งใดๆ รอบตัวเขาเลยด้วยซ้ำไป… หลุมนั้นเต็มไปด้วยทรายที่ยิ่งขุดลึกลงไปยิ่งร้อนอบอ้าว บางเวลาทรายมันก็ถล่มลงมาอีก (เหมือนกับว่าเสียเวลาเปล่า เพราะเมื่อมันถล่มลงมาก็ต้องขุดใหม่ เหมือนเดิมวนไปวนมา) ข้าพเจ้านึกสงสัยในใจว่า เขาทำเช่นนี้ทำไม? และจะขุดให้มันใหญ่สักแค่ไหน? เพราะขนาดที่เห็นมันก็ใหญ่มาก จนให้คนลงไปอยู่ได้นับสิบคนอย่างสบายๆ หากเขาจะฝังถุงใบนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นต้องขุดลึกขนาดนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า : “ทุกสิ่งจะมีที่อยู่ของมัน สิ่งดีจะเป็นบำเหน็จรางวัลในสวรรค์ให้กับผู้ชอบธรรม  สิ่งชั่วจะถูกฝังในนรกที่แสนแห้งแล้ง มันจะอยู่ใกล้ๆ เพื่อฟ้องผู้นั้น… ไม่มีสักสิ่งเดียวที่สูญหายไป” ข้าพเจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็พอจะเข้าใจลางๆ ว่าทำไมคนนั้นจึงพยายามขุดหลุมให้ลึกแล้วลึกอีก ไม่หยุดหย่อนเสียที … แท้ที่จริงเขาเพียงต้องการฝังมันให้ลึกๆ นั่นเอง เพราะสิ่งนี้คอยแต่จะฟ้องเขา เป็นพยานถึงเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความเข้าใจกับข้าพเจ้าเพิ่มเติมว่า : “แนวการกระทำใดๆ จะหายไปก็หาไม่ได้ เว้นเสียแต่การกลับใจใหม่เท่านั้น ที่สามารถนำบุตรของพระเจ้ากลับคืนสู่อ้อมกอดแห่งการให้อภัยของพระบิดา และโดยการไถ่จะทรงนำให้พ้นจากการฟ้องผิดแห่งแนวการกระทำนั้น ผู้ใดหรือจะแอบซ่อนสิ่งที่ตนทำได้? แม้เขาจะพยายามเพียงใดก็ไม่สามารถนำให้พ้นจากการฟ้องได้เลย” นรก ที่ๆ… Read More »

แดนมรณา : เค้าโครงความคิดที่ต้องระวัง

ประตูใหญ่สูงเสียดฟ้าสีดำทึบ มองดูขมุกขมัว พระเยซูตรัสว่า : “จงก้าวเข้าไป” ข้าพเจ้ามองดูด้วยใจหวั่นๆ เพราะรู้อยู่ลางๆ ว่าอะไรอยู่เบื้องหน้า แต่ก็บอกพระเยซูว่า : “หากพระองค์ใช้และอยู่ด้วย หากพระองค์นำและรับรอง ข้าพระองค์ก็จะไป” พระเยซูตรัสตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง มั่นคงแต่อ่อนโยน : “ครั้งนี้เราจะไม่ได้ไปกับเจ้า” ข้าพเจ้าถามพระองค์ว่า : “อ้าววว… อ้อ ทูตสวรรค์หรอคะ (ปลอบใจตัวเอง)” พระเยซูตรัสว่า : “ทูตสวรรค์ไม่สามารถเข้าแดนมรณาได้” ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกกลัวๆ กล้าๆ แต่พระเยซูตรัสว่า : “ครั้งนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไปกับเจ้า ลูกเอ๋ย”   ผ่านเข้าสู่ประตูแดนมรณา   ทันใดนั้นเท้าของข้าพเจ้าก็ได้ก้าวเข้าไปในประตูบานนั้นเสียแล้ว มองไปรอบด้านไม่มีใครอยู่เคียงข้าง แต่ภายในใจข้าพเจ้าเรียกหาพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากความกลัวๆ กล้าๆ ก็เปลี่ยนเป็นความนิ่งและสงบ… เมื่อนิ่งได้ ยิ่งสัมผัสการทรงสถิตย์อยู่ด้วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในขณะนั้นเองเสียงของพระเยซูที่อยู่นอกประตูก็ตรัสดังขึ้นว่า : “จงเรียนรู้และสังเกตุจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าทรงรู้สึกอย่างไร? และทำอะไรในเจ้าบ้าง?” และข้าพเจ้าร้องเรียกพระวิญญาณบริสุทธิ์จนกระทั่งพระองค์ครอบครองจิตใจและความคิดของข้าพเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม   มองไปรอบด้านจากที่วนเวียนสับสน ก็เริ่มได้เห็นและเข้าใจแบบเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์   หลังการก้าวพ้นประตูบานใหญ่เข้ามามีแต่ความมืดที่มองไม่เห็นอะไรเลย แต่เท้าของข้าพเจ้ายังไม่หยุดเดิน ก้าวย่างของข้าพเจ้าค่อยๆ… Read More »

ทูตสวรรค์ : ทูตแห่งความเมตตา

ทูตสวรรค์กายคล้ายผู้หญิงหน้าตาอ่อนละมุน มองแล้วดึงดูดจิตใจภายในให้อ่อนโยนตาม ผมสีออกบอล์นทองส่องประกายเป็นลักษณะฟุ้งกระจาย มองภาพใบหน้าไม่ชัด แต่ที่ชัดคือสายตา ชุดสีขาวละมุนฟุ้งกระจายไปรอบกายพร้อมกับความสว่างที่ทอแสงดูอบอุ่น อยากเข้าใกล้ “นี่คือ ทูตแห่งความเมตตา” : พระเจ้าทรงตรัส ฉัน : “พระองค์เจ้าข้า… ข้าพระองค์แทบไม่เคยเห็นทูตสวรรค์ลักษณะนี้เลย เป็นหญิงสาว” พระเจ้าตรัสว่า : “ทูตแห่งความเมตตาจะทำให้เจ้าเห็นสิ่งสวยงาม มองสิ่งรอบตัวสวยงาม ที่ช่วงนี้เจ้าเห็นการสำแดงหลายอย่างจากเราเป็นความสวยงาม เพราะทูตนี้อยู่ช่วยเจ้าแล้ว เมื่อก่อนเจ้าเคยอ่อนโยนในวัยเด็ก เจ้าช่างสงสารใครไปทั่ว แต่มันหายไปแล้ว และเราจะมอบทูตนี้คอยช่วยเจ้า จะคอยเสริมแรงจากสิ่งที่ทำให้เจ้าอดใจไว้ไม่แสดงความเมตตา เจ้าจะได้เห็นความสวยงาม เพื่อเจ้าจะปลดปล่อยตัวตนออกมา ความงดงามแต่เดิมที่เราใส่ไว้ในเจ้าจะถูกรื้อฟื้นขึ้น” ฉัน : “จริงด้วยค่ะ ตอนเด็กข้าพระองค์ขี้สงสาร ช่างเห็นใจ มันหายไปตอนไหน เมื่อไรไม่รู้” พระเจ้าตรัส : “เพราะลักษณะเด่นของผู้เผยได้กลบสิ่งเหล่านี้ไว้ ความถูกผิดกับความชอบใจหรือขัดใจทำให้กลบความอ่อนโยนนั้นไป แต่ตอนนี้เราจะรื้อฟื้นเพื่อเจ้าจะเข้าใจอีกส่วนของคำว่า ‘เมตตา’ ทูตนี้จะคอยสร้างบรรยากาศแห่งความสวยงามให้เจ้า ความงดงามจะเรียกจิตใจภายในที่ถูกซ่อนกลบไว้ออกมา เพื่อเจ้าจะใช้ได้ทั้ง 2 ส่วนทั้งบุคลิกเผยกับจิตใจเมตตา เพราะนี่คือเวลาที่จะเรียกคืนสิ่งที่เราเคยใส่ไว้ สิ่งที่เป็นของเจ้ากลับมา และเจ้าจะกลายเป็นคนมองแง่บวกมากขึ้น เห็นอีกมุมมากขึ้น เพราะเจ้าแกร่งในส่วนแรกแล้ว เวลาต่อไปเราใส่ให้เพื่อเจ้าจะใช้เวลาปรับสมดุลย์ตัวเองอีกครั้ง เพื่อขยายพิกัดในชีวิตเจ้า… Read More »

สวรรค์ : การเป็นพยานบนสวรรค์

เมื่อครั้นเราทุกคนต้องอยู่ต่อหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษาที่ทรงธรรมของพระองค์   สิ่งที่เป็นพยานถึงเราเพื่อรายงานต่อพระบิดาผู้นั่งบนบัลลังก์แห่งการพิพากษา 1.    พระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากบนโลกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ภายในเรา ช่วยเรา สอนเรา นำทางเรา และตักเตือนเรา เหตุนี้พระองค์จึงทรงรู้ทุกความเป็นไป รู้ทุกสิ่งภายในเรา และทรงช่วยในยามเราอ่อนแรง ดังนั้นเมื่อถึงวันแห่งการพิพากษาจะทรงรายงานถึงเราด้วยความสัตย์จริงแบบครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดปิดซ่อนไว้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ แม้สิ่งที่ลึกที่สุดภายในเรา 2.    ทูตสวรรค์ เราแต่ละคนจะมีทูตสวรรค์ประจำกาย เพื่อช่วยเหลือเราในยามที่เราอยู่บนแผ่นดินโลก ทูตสวรรค์เหล่านี้จะเป็นพยานถึงเราด้วยว่าในแต่ละช่วงเวลาเราเป็นอย่างไร เพื่อสนับสนุนเรา 3.    จิตสำนึกผิดชอบของเราเอง แม้เราจะสามารถปฏิเสธทุกสิ่งได้ แต่เราไม่สามารถปฏิเสธจิตสำนึกผิดชอบที่เป็นพยานถึงเราได้ เพราะเนื่องจากเรารู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเราจึงตอบสนองเช่นนั้น เพราะอะไรเราถึงรับหรือปฏิเสธ ซึ่งการเป็นพยานของจิตสำนึกผิดชอบนี้เอง ทำให้เรามาถึงจุดแห่งความอับอาย หรือชื่นบานได้อย่างเต็มที่ เพราะเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลย เพราะตัวเราเองเป็นพยานถึงตัวเอง ลก.23:30-31 23:30 คราวนั้นเขาจะเริ่มกล่าวแก่ภูเขาทั้งหลายว่า ‘จงล้มทับเราเถิด’ และแก่เนินเขาว่า ‘จงปกคลุมเราไว้’ 23:31 เพราะว่าถ้าเขาทำอย่างนี้เมื่อไม้สด อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งแล้วเล่า” วว.6:16-17 6:16 พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า “จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง และให้พ้นจากพระพิโรธของพระเมษโปดกนั้น 6:17 เพราะว่าวันสำคัญแห่งพระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และผู้ใดจะทนอยู่ได้เล่า” 4.    มารซาตาน… Read More »

สวรรค์ : บางพื้นที่บนสววรค์ ที่ไม่ใช่ใครก็เข้าได้

“บางพื้นที่บนแผ่นดินสวรรค์ไม่อาจเข้าไปได้ทุกคน เพราะความละอาย” ถ้อยคำนี้ดังขึ้นภายในใจและดังผ่านหูออกมา เสมือนมีใครสักคนพูดให้ฟัง ในเสี้ยววินาทีก่อนจะหลับโดยไม่รู้ตัวและความเข้าใจได้เกิดขึ้นในขณะหลับบนรถที่กำลังแล่นจากหัวหินตรงสู่กรุงเทพฯ โดยสามีเป็นผู้ขับ บนแผ่นดินสวรรค์ ทุกคนที่ได้ผ่านเข้ามาสู่แผ่นดินสวรรค์ ก็จะสามารถยืนต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความเปรมปรีดิ์และชื่นชมความงามของพระเจ้า ท่ามกลางอิสระและเสรีภาพที่เราแต่ละคนสามารถชื่นชมกับแผ่นดินที่พระเจ้าได้มอบให้เราร่วมครอบครองกับพระองค์ แต่จะมีบางส่วนบางพื้นที่ที่ไม่ใช่ทุกคนบนสวรรค์จะเดินเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นได้ ไม่ใช่เพราะการห้ามหรือกีดกันขององค์พระผู้เป็นเจ้า… แต่เพราะสง่าราศีอันสมควร ได้เปล่งประกายออกมาท่ามกลางผู้ที่เข้าสู่พื้นที่นั้นของแผ่นดินสวรรค์ ทำให้ผู้ที่ไม่มีสง่าราศีหรือสง่าราศีอับแสง มีเพียงน้อยนิดจะเกิดความรู้สึกละอายจนเลือกที่จะไม่เข้าไปใกล้ในสถานที่นั้นเลย…   ในที่นั่งของผู้ชอบธรรมที่เปล่งประกายซึ่งความเป็นเกียรติ สง่าราศี และบำเหน็จมากมายที่พระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ได้ถูกเปิดเผยและสำแดงออกในวันเวลาที่ไม่สามารถย้อนกลับคืนได้ และเป็นเวลาแห่งการสิ้นสุดการลงแรง แต่เป็นเวลาที่ดื่มด่ำอยู่นิจนิรันดร … ผู้ที่ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่หว่านลงบนโลกและไม่ย่อท้อในการก้าวเดินจะนั่งอยู่ในที่นั่งแห่งความเปรมปรีดิ์และความภาคภูมิที่ไม่รู้สึกเสียดาย แต่ได้รับการตอบแทนด้วยสิ่งที่ล้ำค่าเกินบรรยายอย่างไม่รู้สึกเสียดาย ในทางตรงกันข้ามบุคคลผู้ที่แม้ได้ผ่านเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ร่วมครอบครองกับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่กลับละอายและเสียดายอย่างสุดซึ้งและทำอะไรไม่ได้เลย เพราะวันเวลาแห่งการลงทุนลงแรงได้หมดไปเสียแล้ว ความเสียใจที่เกิดจากการคิดว่า “ไม่น่าเล้ยยยยย” , “รู้อย่างนี้ยอมอดทนเสียดีกว่า” ,  “อยากได้บ้างแต่ก็อดสูเพราะรู้แก่ใจว่าตนเองเป็นอย่างไรเมื่อครั้งอยู่บนแผ่นดินโลก”….   “เพราะผู้ชอบธรรมจะมั่นใจและมั่นคงที่จะหยัดยืนต่อหน้าเรา ในวันที่ต้องเผชิญสิ่งต่างๆ รวมทั้งความทุกข์ยากจะไม่เป็นเหตุให้เลิกล้มหรือบั่นทอน เพราะเขาจะได้รับอย่างนิจนิรันดร์และสมควรกับเขาแล้ว” พระบิดาทรงตรัส “บรรยากาศในสถานที่แห่งนั้นจะเต็มไปด้วยความชื่นบานที่ได้รับ และการชื่นชมต่อการสรรเสริญแด่พระองค์ แต่คนจำนวนมากแสนมากจะละอายจนถูกกันออกจากสถานที่แห่งนั้นด้วยความละอายที่เกิดขึ้นภายในเขานั่นเอง เพราะเวลานั้นจิตสำนึกได้ทำงานอย่างเต็มขนาดเป็นทั้งผู้ที่เป็นพยานฝ่ายเรา (พระเจ้า) และเป็นผู้ชันสูตรอย่างครบถ้วน” พระองค์ทรงตรัส 180713

สวรรค์ : พระเจ้าจะมอบดาบแห่งสิทธิอำนาจให้

บุรุษผู้หนึ่งใส่ชุดเกราะเต็มยศ ขี่ม้าตัวสูงใหญ่สีขาวถือดาบยาวเหมือนหอก วิ่งมาด้วยความเร็วสูงลงมาจากท้องฟ้า (เร็วขนาดที่ระยะทางจากฟ้าถึงตัวข้าพเจ้าคือ… ทันทีทันใด!!) หยุดอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า … ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่บนกำแพงยาวสุดลูกหูลูกตา ขณะเงยหน้าเพ่งมองบนฟ้าชื่นชมความงามของแสงอาทิตย์ยามเย็น ลักษณะสีส้มทอแสงทอง สว่างไสว สวยงามจนไม่สามารถละสายตาไปได้ ความสวยงามนี้ทำให้เกิดความอิ่มเอิบในใจลึกๆ เหมือนว่าสงบนิ่งอยู่ได้ เป็นความรู้สึกปกติสุข … ในขณะห้วงเวลาที่บุรุษผู้ขี่ม้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า เทียบขนาดตัวข้าพเจ้าเล็กประมาณครึ่งขาของม้าเอง ตัวข้าพเจ้าสูงไม่ถึงส่วนท้องของม้าด้วยซ้ำ หน้าเงยมองดูม้านั้นและบุรุษผู้อยู่บนหลังม้า  ใจภายในตกใจระคนกับตื่นเต้น ทั้งเกรงกลัว จนกระทั่งต้องคุกเข่าลงกับพื้น… บุรุษนั้นยื่นดาบที่มีด้ามยาวเหมือนหอกที่อยู่ในมือของเขาออกมา ชี้ตรงมาที่หน้าข้าพเจ้า ซึ่งไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา ได้แต่เพ่งมองดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป นึกสงสัยในใจว่าทำไมดาบนั้นถึงถูกชี้ตรงมาที่หน้าของตัวเอง  ในเสี้ยวนาทีนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้น “จงรับไว้” (เป็นเสียงที่ดังมาจากภายในตัวเอง > เล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในที่คอยช่วยให้ความกระจ่าง) จู่ๆ ดาบยาวเหมือนหอกก็ได้มาอยู่ในมือข้าพเจ้าเป็นที่เรียบร้อย แต่ความยาวหดสั้นลงเล็กน้อยกลายเป็นพอเหมาะกับมือ … คือส่วนด้ามที่ยาวเลยข้อศอกไป หดสั้นเข้ามาพอดีกับมือ  แต่ส่วนคมยังคงยาวเหมือนเดิม ข้าพเจ้าเผลอยืนขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทันตั้งตัว แต่รู้ตัวอีกทีก็ยืนขึ้นพร้อมมือถือดาบ … บุรุษผู้นั้นจ้องมองข้าพเจ้า แม้ไม่มีคำพูดใดๆ ก็ตาม แต่สายตาที่จ้องมานั้นแลดูมั่นคง ดุดันดั่งตั้งมั่นเสมือนว่าไม่มีสิ่งใดมาสั่นคลอนหรือเปลี่ยนแปลงได้ …   ในขณะนั้นข้าพเจ้าเหลียวมองไปยังท้องฟ้าอีกครั้ง  คราวนี้เสียงดังกึกก้องจากฟ้าสวรรค์ลงมาพุ่งตรงเข้าที่หัวใจ เป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นในทันที… คือสิ่งที่ปรากฏแก่ตา …… Read More »