Author Archives: Panarat

ร่นเวลา

พระเจ้าทรงตั้งวาระและเวลาให้กับเราแต่ละเรื่องอยู่แล้ว แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างอาจจะทำให้เกิดการร่นเวลาสั้นเข้าได้ หากในวาระนั้นๆ เราได้เรียนรู้ครบทุกอย่างและผ่านได้ครบทุกสิ่ง มธ.24:22 และถ้ามิ ได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีเนื้อหนังใด ๆ รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้ที่เลือกสรรไว้ จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า มก.13:20 ถ้าองค์ พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีเนื้อหนังใด ๆ รอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้ถูกเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ พระองค์จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า 1 คร.7:29 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่ายุคนี้ก็สั้นมากแล้ว ตั้งแต่นี้ไปให้คนเหล่านั้นที่มีภรรยาดำเนินชีวิตเหมือนกับไม่มีภรรยา ปัจจัยที่ส่งผลต่อการร่นเวลาของพระเจ้า 1. การผ่านทุกบททดสอบในวาระนั้น ♣    ในแต่ละช่วงชีวิตของเรา พระเจ้าจะมีวาระสำหรับสิ่งต่างๆ ให้เราได้เรียนรู้ เพื่อเติบโตขึ้นสู่วาระต่อๆไป และเพื่อท้ายที่สุดคือ ความไพบูลย์ของพระคริสต์ในชีวิตเรา แต่ละเรื่องมักจะเป็นพื้นฐานในก้าวต่อๆไปเสมอ ♣    ตัวอย่าง พระเจ้าให้เราเรียนรู้ความอดทนต่อผู้บีบบังคับเราเป็นเวลา 1 ปี แต่เนื่องจากการตอบสนองอย่างดี เรียนรู้เร็ว อันมาจากการเสาะแสวงหาพระพักตร์พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อต่อเนื่องไม่ลดละ และมุ่งมั่นด้วยการปล้ำสู้ ทำให้เราผ่านทุกด่านในวาระนี้ เข้าใจจนเป็นชีวิต และได้มาซึ่งสิ่งที่พระเจ้าตั้งไว้สำหรับเราแล้ว การร่นเวลาเข้าสั้นจึงเกิดขึ้น เมื่อทุกสิ่งอย่างหมดสิ้นในวาระกำหนด 1 ปี อาจเหลือเพียง 3… Read More »

จิ้กซอว์ชีวิต

ชีวิตคนเราเปรียบเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ เราแต่ละคนมีภาพที่สมบูรณ์แบบ จากการทรงสร้างที่พระเจ้าบรรจงสร้างเราไว้แต่แรกเดิม ตั้งแต่ในครรภ์มารดา มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่รู้อย่างสมบูรณ์แบบถึงภาพที่ครบถ้วนนั้น เราไม่รู้อะไรเบื้องหน้ามากนัก นอกจากก้าวต่อก้าว … ในแต่ละก้าวที่เดินไปกับพระเจ้า ก็เปรียบเสมือนเราได้รับจิ๊กซอว์มา 1 ชิ้น ต่อแต่ละเหตุการณ์ แต่ละช่วงชีวิต เพื่อนำมาประติดประต่อ ดูเหมือนมันเป็นเพียงชิ้นส่วนเล็กๆ ซึ่งอาจไม่มีความหมายสำหรับเราในเวลานั้น   … แต่ท้ายที่สุดเราจะสามารถค้นพบความหมายและคำตอบได้เมื่อวันเวลาผ่านไป  เมื่อเราโตขึ้น  เมื่ออะไรหลายๆ อย่างกระจ่างมากขึ้น …  เมื่อนำชิ้นส่วนเล็กๆ นี้ไปต่อเข้ากับส่วนอื่นๆ ที่จะได้มาในอนาคต หรือเคยได้มาแล้ว… แต่หากเราโยนมันทิ้งไป เมื่อถึงเวลานำมาต่อเข้ารวมกัน ภาพชีวิตของเราก็จะไม่สมบูรณ์ ขาดแหว่ง บางส่วนไป เป็นผลมาจากการโยนมันทิ้งนั่นเอง (ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) ภาพ : พระเจ้าให้จิ๊กซอว์กับเราแต่ละชิ้น  ผ่านคำเผย  เสียงตรัส  ความเข้าใจ  บทเรียนชีวิตผ่านเหตุการณ์  ความเข้าใจ  พระสัญญา  การเปิดเผยส่วนตัว  การเปิดเผยองค์รวม ….. อย่าทิ้งบางชิ้นลงถังขยะ เพราะมันจะเป็นองค์ประกอบที่ต่อเข้ากับตัวอื่นในที่สุด เราจะได้รับจิ๊กซอว์ชีวิตจากทางไหนบ้าง? 1.    การศึกษาพระคำส่วนตัว 2.    การอธิษฐานส่วนตัว รับการสำแดง นิมิต… Read More »

ทำไมแล้วจึงอย่างไร

ทำไม??? ปกติธรรมชาติมนุษย์มักต้องการรู้ ที่มาที่ไปในแต่ละเรื่อง เพราะเมื่อใดที่กระจ่างแจ้งย่อมยินดีที่จะก้าวตาม หากเราไม่รู้ว่า สิ่งที่ต้องทำๆ ไปเพื่ออะไร? ไม่รู้วัตถุประสงค์ ก็เปรียบเหมือน การแล่นเรือออกทะเลโดยไร้จุดหมายปลายทาง จึงต้องเผชิญกับความอ้างว้างกลางทะเลในบางช่วง พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่เปิดเผยความจริงให้แก่เรา เมื่อเราแสวงหาพระองค์ จะสามารถค้นพบคำตอบในพระองค์ได้เป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลกอะไร ที่มนุษย์อย่างเราจะเสาะหาต้นเหตุที่พระเจ้าเรียกร้องเรา … เมื่อมีสถานการณ์หนึ่งเกิดขึ้น แล้วเราแสวงหาพระเจ้าจนรู้แน่ว่าเพราะเหตุใด? พระองค์จึงเรียกเรา หรือให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น …ย่อมเป็นการง่ายที่จิตใจภายในจะยอมจำนนต่อพระองค์มากเสียกว่า  การพยายามปลอบใจตัวเองว่าให้ตอบสนองพระเจ้าอย่างดีเถิด… ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าเพื่ออะไร?  เพราะอะไร? สิ่งที่มักเกิดตามมาคือ… ไม่มีความมั่นใจในการตอบสนองว่า มาถูกทางหรือเปล่า? และหากไม่ตรงเป้า นั่นแสดงว่ายังไม่ผ่าน และหากยังไม่ผ่านเรื่อยๆ ก็ย่อมหมดแรงกำลังในตอบสนองในที่สุด  เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะล้มเลิก… แต่แท้จริงพระเจ้ายินดีจะเปิดเผยและแจ้งน้ำพระทัยของพระองค์ในชีวิตเรา และแก่ผู้ที่เสาะแสวงหาพระองค์เสมอ … ด้วยว่าพระองค์ปรารถนาจะอยู่เคียงข้างคนของพระเจ้า และอยากให้เราผ่านเสมอ ทุกเส้นทาง และตลอดเส้นทาง *** ดังนั้นการถามถึงสาเหตุจากพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติใดๆ หากท่าทีของเราเป็นเพียงการเสาะหาคำตอบจากพระเจ้า แทนที่ การไม่ยอมจำนน!!! หากเราเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับเราแล้วว่า … ทรงมีแผนการณ์และน้ำพระทัยเช่นไรในตัวเรา ความมั่นคงย่อมเกิดง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่ปรารถนาจะตอบสนองและเดินกับพระเจ้าแบบก้าวต่อก้าวอยู่แล้ว เมื่อเรารู้แผนการณ์น้ำพระทัยพระเจ้าแล้ว ยังไม่จบกระบวนการเพียงเท่านั้น … แต่เป็นเพียงการเริ่มต้น  การรู้น้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตเราจะไร้ค่า … Read More »

ชักช้าจนได้เรื่อง

ด้วยความชักช้า ไม่กล้าตอบสนองพระเจ้าสักที  จนกระทั่งเวลาจวนเจียนสุดๆ แล้ว ก็ยังไม่ตัดสินใจอีก สุดท้ายทูตสวรรค์ต้องทำเอง ด้วยการดึงโลทออกมาจากเมืองโสโดม แท้จริงโลทมีเวลาที่จะก้าวและตัดสินใจก่อนหน้านี้  แต่เพราะความเสียดาย แม้สิ่งนั้นต้องถูกทำลาย  , ความกังวล แม้สิ่งนั้นเขาช่วยอะไรไม่ได้เลย … โลทไม่สามารถช่วยเหลือชาวเมืองโสโดมได้เลยสักคนเดียว แม้แต่คนในครอบครัว เขายังช่วยได้เพียงบางคน ซึ่งน้อยนิดเหลือเกิน แต่เพราะมีอับราฮัมผู้ที่รักพระเจ้าเสียเหลือเกิน และรักโลท จนร้องทูลต่อรองกับพระเจ้าเพื่อโลท … ถึงอย่างนั้นโลทก็ยังไม่ตัดสินใจ แม้โอกาสที่พระเจ้าให้แก่เขา เพราะผู้ชอบธรรมร้องทูลเพื่อเขา (การให้โอกาสของพระเจ้าที่มีต่อเขา หาใช่มาจากชีวิตของโลทเองไม่!!!) *** การช่วยเหลือของทูตสวรรค์ที่มีมายังโลท เพราะเห็นแก่อับราฮัมล้วนๆ  ♥ เห็นแก่การร้องทูลของอับราฮัม  ♥ เห็นแก่ชีวิตที่ชอบธรรมและรักพระเจ้าของอับราฮัม  ♥ เห็นแก่ความกล้าหาญของอับราฮัมที่กล้าต่อรองกับพระเจ้าเพื่อโลท  ♥ เห็นแก่ความรักความห่วงใยที่อับราฮัมมีให้โลท  ♥ เห็นแก่ความสัมพันธ์ของโลทที่เชื่อมต่อกับอับราฮัมทางสายเลือด… *** ??? แล้วเรามีอับราฮัมคนนั้นในชีวิตหรือเปล่า ???   ปฐก.19:15-17 19:15 และเมื่อรุ่งเช้าทูตสวรรค์เหล่านั้นจึงเร่งเร้าโลท กล่าวว่า “จงลุกขึ้น พาภรรยาของเจ้า และบุตรสาวทั้งสองของเจ้า ซึ่งอยู่ที่นี่ไปเสีย เกรงว่าเจ้าจะถูกทำลายพร้อมกับความไร้ศีลธรรมของเมืองนี้” 19:16… Read More »

จัดการกับบาป ไม่ใช่ปรับตัวให้เข้ากับบาป

เป็นมะเร็งต้องรักษา ยอมรับการผ่าตัดจึงจะหาย ไม่ใช่ปรับตัวให้อยู่กับมันได้ เพราะเราไม่รู้มันจะกำเริบขึ้นมาเมื่อใด ฉันใดก็ฉันนั้น บาปก็เช่นกัน … เราไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับบาป และยอมรับมันไว้ในชีวิตได้ เพราะบาปขวางกั้นการเติบโตฝ่ายวิญญาณและความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้ไม่สามารถใกล้ชิดพระเจ้าได้มากกว่าที่เป็นอยู่ … แม้จะมีใจอยากและความปรารถนาแรงกล้าสักเพียงใดก็ตาม … บาปไม่สามารถเข้ากันกับความบริสุทธ์ของพระเจ้าได้เลยแม้แต่น้อย …  เราไม่สามารถมีบาปในชีวิตพร้อมๆ กับความบริสุทธิ์ได้ ดังนั้นหากอยากได้ความบริสุทธิ์ต้องจัดการสิ่งที่ทำให้ความบริสุทธิ์อยู่ในเราไม่ได้เสียก่อน ไม่ว่าจะโรคร้าย หรือ เพียงแค่กลัดหนอง หากยอมเอาเชื้อโรคออก ย่อมหายขาด … ชีวิตคริสเตียนหากจัดการบาปย่อมเป็นอิสระและมีเสรีภาพ ไม่ต้องคอยกังวล ว่ามันจะกลับมาเมื่อไร ไม่ต้องคอยระแวงว่าจะโผล่มาเมื่อไร ไม่ต้องเสียแรงหรือลงแรงไปแล้วรู้สึกเปล่าประโยชน์ เพราะว่ายังคงมีเชื้อบางอย่างที่คอยทิ่มแทงภายในเสมอๆ ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการยอมรับสภาพบาปได้ และไม่คิดจะจัดการมันอย่างจริงจัง จึงไม่สามารถเห็นฤทธิ์เดชแห่งการไถ่ของพระเยซู การดำเนินชีวิตจึงยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิมเป็นวัฏจักร … ใช่ว่านอนหลับไปแล้ว พอตื่นขึ้นมา  บาดแผลหรือบาปเหล่านั้นจะหายไปชั่วข้ามคืน เพราะการนอนหลับ  , ใช่ว่า การแกล้งพยายามไม่รับรู้ ไม่สนใจ จะทำให้หายจากอาการเหล่านั้น  หรือทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น …  แน่นอนบางครั้งมันอาจจะดีขึ้นบ้าง หลังจากได้พักกาย หลังจากมีระยะห่างไม่จมปลักอยู่กับสภาพนั้นๆ แต่มันยังคงอยู่ รอเวลาที่จะปะทุขึ้นใหม่อีกครั้ง การยอมรับบาป =… Read More »

การสิ้นชีพของโมเสส

พระเจ้าเรียกโมเสสให้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์เข้าสู่คานาอัน แสดงว่างานนี้จะเสร็จสิ้นเมื่อได้เข้าคานาอัน แต่ด้วยความผิดพลาดของโมเสส เขาจึงไม่ได้เข้าคานาอัน… แต่ถึงกระนั้นพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อโมเสสและเห็นแก่ชีวิตที่ทุ่มเทเดินติดตามพระเจ้าของเขาอย่างที่สุด พระเจ้าให้เขาได้เห็นในสิ่งที่พระองค์สัญญาว่าจะให้แก่ชนชาตินี้ และทรงรับเขาไป เขาตายบนภูเขาเนโบ ที่ๆ เขาได้พบกับพระเจ้าและตายในอ้อมกอดของพระเจ้า ทั้งที่ไม่มีใครเห็นเขาเลย พระเจ้าฝังเขาเอง ฉธบ.34:1-12 34:1 และโมเสสก็ขึ้นไปจากที่ราบโมอับถึงภูเขาเนโบ ถึงยอดเขาปิสกาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามเมืองเยรีโค และพระเยโฮวาห์ทรงสำแดงให้ท่านเห็นแผ่นดินนั้นทั้งหมด คือกิเลอาดจนถึงดาน 34:2 ทั้งนัฟทาลีทั่วหมด เห็นแผ่นดินเอฟราอิม และมนัสเสห์ ทั่วแผ่นดินยูดาห์ ไกลไปถึงทะเลที่อยู่ไกลออกไป 34:3 ทั้งทางใต้และที่ลุ่มในหุบเขาแห่งเมืองเยรีโค เมืองต้นอินทผลัม ไกลไปจนถึงโศอาร์ 34:4 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับท่านว่า “นี่คือแผ่นดินซึ่งเราได้ปฏิญาณต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ ว่า ‘เราจะให้แก่เชื้อสายของเจ้า’ เราให้เจ้าเห็นกับตา แต่เจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินนั้น” 34:5 เหตุฉะนั้นโมเสสผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์จึงสิ้นชีวิตที่นั่นในแผ่นดินโมอับ ตามพระดำรัสของพระเยโฮวาห์ 34:6 และพระองค์ทรงฝังท่านไว้ในหุบเขาในแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามเบธเปโอร์ จนถึงทุกวันนี้หามีผู้ใดรู้จักที่ฝังศพของท่านไม่ 34:7 เมื่อโมเสสสิ้นชีวิตนั้นท่านมีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี นัยน์ตาของท่านมิได้มัวไป หรือกำลังของท่านก็ไม่ถอย 34:8 และคนอิสราเอลร้องไห้ถึงโมเสสที่ราบโมอับสามสิบวัน แล้ววันที่ร้องไห้ไว้ทุกข์ถึงโมเสสก็สิ้นลง 34:9 โยชูวาบุตรชายนูนมีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา เพราะโมเสสได้เอามือของท่านวางบนเขา… Read More »

การทรงเรียกของโมเสส

อพย.3 3:1 ฝ่ายโมเสสเลี้ยงฝูงแพะแกะของเยโธรพ่อตาของเขา ผู้เป็นปุโรหิตของคนมีเดียน และท่านได้พาฝูงแพะแกะไปด้านหลังของถิ่นทุรกันดาร และมาถึงภูเขาของพระเจ้า คือโฮเรบ 3:2 ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็ปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟซึ่งอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ โมเสสจึงมองดูและดูเถิด พุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่พุ่มไม้นั้นมิได้ไหม้โทรมไป 3:3 โมเสสจึงกล่าวว่า “ข้าจะแวะเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าเหตุไฉนพุ่มไม้จึงไม่ไหม้” 3:4 และเมื่อพระเยโฮวาห์ทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู พระเจ้าจึงตรัสแก่เขาออกมาจากท่ามกลางพุ่มไม้นั้นว่า “โมเสส โมเสส” และโมเสสทูลตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” 3:5 พระองค์จึงตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ จงถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่บริสุทธิ์” 3:6 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ” และโมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า 3:7 และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราเห็นความทุกข์ของพลไพร่ของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว และได้ยินเสียงร้องของเขา เพราะเหตุพวกนายงานของเขา ด้วยเรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆของเขา 3:8 และเราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดพ้นจากมือของชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 3:9 เพราะฉะนั้น… Read More »

พระเจ้าไม่เลือกคนที่ความสามารถ

ในสายพระเนตรพระเจ้าความสามารถไม่มีผลในการเลือกใช้เรา แต่การมีใจที่ยอมจำนน พระเจ้าสามารถทำและเพิ่มเติมทุกสิ่งในเราได้ พระเจ้ามีแผนการณ์ที่ดีเลิศสำหรับเราแต่ละคน ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว ดังนั้นแสดงว่า… การที่ชีวิตเรา ได้รับการเลี้ยงดู การฝึกฝนอบรม การปูพื้นฐานในชีวิตจากครอบครัว การศึกษา สภาพแวดล้อมชีวิต…นั่นแหละคือ สิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมในชีวิตเรามาแล้วเป็นอย่างดี…. และนั่นแหละที่จะเป็นพื้นฐานหลักที่สอดคล้องกับการทรงเรียกที่พระเจ้าจะใช้เรา เมื่อเราก้าวเข้าสู่การรับใช้ในการทรงเรียกของพระเจ้าอย่างเจาะจงในตัวเรา จะค้นพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เราเคยเรียน เคยมีประสบการณ์ เคยผ่านเรื่องราวต่างๆ กระบวนการสร้างชีวิตเหล่านั้น ถูกปลูกฝังจนกลั่นออกมาเป็นศักยภาพ ความสามารถ ความชอบเฉพาะตัว เฉพาะด้าน หล่อหลอมจนเป็นตัวตนของเราเอง…. นั่นแหละที่สามารถนำมาใช้ได้จริงกับการรับใช้ในการทรงเรียกของพระเจ้าที่มาถึงเป็นการส่วนตัว หรือที่เรียกว่า “เอกลักษณ์” ปกติพระเจ้ามีแบบแผนการเรียกใช้เรา จากสิ่งที่เราเป็น เพราะนั่นคือ… การทรงสร้างของพระเจ้า และเป็นการวางไว้ของพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว…. ดังนั้นความสามารถต่างๆ ที่ถูกใช้งานได้จริง มักมาจากพื้นฐานที่พระเจ้าให้เราได้เติบโตมาอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ♥    โมเสส ต้องนำคนมากมาย จึงถูกเลี้ยงโดยกษัตริย์ เป็นกระบวนการสร้างของพระเจ้าสำหรับโมเสส ♥    ดาวิดต้องนมัสการ จึงชื่นชอบกับการเลี้ยงแกะตามท้องทุ่ง ได้เห็นและชื่นชมการทรงสร้างของพระเจ้า ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า ฝูงแกะ แสงแดด เพื่อเข้าใจธรรมชาติการทรงสร้างของพระเจ้า ดาวิดจึงสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง ♥    เปาโลต้องประกาศยิว จึงเติบโตมาจากกิมาเอลฟาริสีผู้รอบรู้ด้วยพระคัมภีร์เป็นข้อมูล และการต้องอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองบ่อยๆ… Read More »

เชื่อในส่วนดี

เมื่อเราไม่เข้าใจในสิ่งที่คนๆ หนึ่งทำ ควรคิดในใจก่อนว่า “เขาคงมีเหตุผลของเขา” และแม้เหตุผลของเขาไม่เป็นที่เข้าใจได้เลย อย่างน้อยที่สุด การให้เกียรติเขาย่อมเป็นการดีที่สุด… ใครจะรู้ว่าเขาอาจกำลังเผชิญสิ่งที่ยากอยู่ อย่าบั่นทอนผู้อื่นด้วยการเอาความคิดเห็นส่วนตัวของเราเอง (หรือแม้แต่ของคนอื่น) มาวัดคนๆนี้ เพราะแต่ละคนพระเจ้าเรียก และสร้างไม่เหมือนกัน เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ชีวิตอยู่แล้วว่า สิ่งที่เขาทำเป็นอย่างไร ถูกหรือผิด สมควรหรือไม่ สำเร็จหรือล้มเหลว เพราะการสงวนการตัดสินย่อมดีกว่า เพราะพระเจ้าไม่ได้ตั้งเราไว้สำหรับการนั้น   เชื่อในส่วนดี 1. การให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ควรกระทำ แทนการวิพากษ์วิจารณ์ 2. หากเราไม่สามารถสนับสนุนผู้อื่นได้ การให้เกียรติก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะไม่บั่นทอนเขา ซึ่งเป็นการสนับสนุนทางอ้อม 3. พระเจ้าไม่ได้ตั้งเราให้เป็นผู้พิพากษา การสงวนทุกทาง เพื่อให้ตัวเราเองเดินอย่างถูกต้องย่อมเป็นเหตุให้เราไม่สูญเสียพระพรที่สมควรได้รับ 4. การที่คนๆ หนึ่งไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากนักในสิ่งที่เขาทำ ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดบทสรุปว่า เขาทำผิด… ซึ่งเขาอาจจะกำลังทำในสิ่งที่ถูกจุดมากกว่าใครก็เป็นได้   22/07/2014 10:19

เมื่อพระเจ้าเรียกร้อง จงตอบสนองทันที

*** “เมื่อพระเจ้าเรียกต้องตอบสนองทันที ต่างจากการได้รับนิมิตเพื่ออนาคต” *** การเรียกร้อง มักเกิดขึ้น แบบทันทีทันใด ให้ตอบสนองทันที ไม่มีเงื่อนไขเรื่องการรอเวลา ตัวอย่าง เมื่อพระเยซูเรียกสาวก นั่นหมายถึง การปรารถนาให้ตามทันที … ไม่ใช่รอก่อน  เดี๋ยวก่อน พระองค์ไม่ได้ยืนรอ หรือบอกว่าไว้เจอกันนะ ไม่ได้ทรงบอกว่าจัดการเรื่องตัวเองเสร็จแล้วค่อยตามมานะ มธ.8:21-22 8:21 อีกคนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน” 8:22 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด” ลก.9:59-62 9:59 พระองค์ตรัสแก่อีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่คนนั้นทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน” 9:60 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด แต่ส่วนท่านจงไปประกาศอาณาจักรของพระเจ้า” 9:61 อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาคนที่อยู่ในบ้านของข้าพระองค์ก่อน” 9:62 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้วหันหน้ากลับเสีย ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับอาณาจักรของพระเจ้า” พระเยซูเรียกสาวกให้ติดตามพระองค์ เพราะนั่นคือ เวลาของพวกเขาแล้ว เวลาของพวกเขาได้มาถึงแล้ว หรือเรียกอีกอย่างว่า แผ่นดินของพระเจ้าได้มาตั้งอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว… แต่พวกเขาขอไปลาพ่อก่อน… Read More »