Author Archives: Panarat

About Panarat

♡ พระเกียรติทั้งสิ้นมอบแด่พระจ้าแต่ผู้เดียว นามเดียว ♡ แต่ขอพระพรตกแก่ข้าพเจ้าและครัวเรือนอย่างเต็มขนาด

เต็มแล้ว (ขยายศักยภาพ / ถุงหนังองุ่นใหม่)

น้ำที่เต็มขันแล้ว ต่อให้เทมากแค่ไหนก็รับได้เท่านั้น เว้นเสียแต่จะเปลี่ยนขันใหม่ให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น  จึงจะสามารถรับปริมาณน้ำได้มากขึ้น  ชีวิตของเราก็เช่นกัน การขยายศักยภาพ ความสามารถ ตะลันต์ ของประทาน และขนาดของใจสัมพันธ์ตรงตามขนาดที่เราจะได้รับเสมอ  หากต้องการมากขึ้น ปรารถนามากขึ้น ในขณะที่เต็มแล้ว จำเป็นต้องยอมเปลี่ยนและขยายออกให้ใหญ่มากยิ่งขึ้น   ขยายให้ใหญ่มากขึ้น คนที่เต็มประสิทธิภาพของตนเองแล้ว ทำอย่างไรก็ได้ไม่มากไปกว่านี้ มีแต่จะวนเวียนอยู่ที่เดิม แม้จะเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการก็ตาม เมื่อเต็มศักยภาพแล้ว …  หากต้องการและปรารถนามากยิ่งๆ ขึ้น จำเป็นต้องยอมทิ้งขนาดเก่าๆ หรือสิ่งเก่าๆ ลง เพื่อให้พระเจ้าเติมสิ่งใหม่ ขนาดที่มากกว่าเดิมลงมา …ดูเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่  แต่แท้จริงการเริ่มต้นใหม่นี้เป็นการเริ่มในขนาดที่ใหญ่ขึ้น step ที่สูงขึ้นกว่าเดิม หลายครั้งพระเจ้าเค้นศักยภาพภายในของเราออกมา ด้วยแรงกดกันบ้าง วิกฤตการณ์บ้าง ตัวอย่างเช่น คนที่เผชิญวิกฤตตรงหน้าสามารถทำอะไรที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ทำมาก่อน คนที่บ้านกำลังไฟไหม้ สามารถยกตู้เย็นหรือของชิ้นใหญ่กว่าตัวเองได้อย่างสบายๆ แม้จะไม่รู้ตัวก็ตาม หรือคนที่เป็นแม่สามารถอดทนได้มากกว่าสภาวะปกติก่อนมีลูกได้อย่างมากมาย สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงระบบภายในมนุษย์ที่พระเจ้าใส่และสร้างไว้แต่ดั้งเดิมแล้ว ในชีวิตฝ่ายวิญญาณก็เช่นกัน เป็นไปได้ที่เมื่อเราดำเนินชีวิตกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ ศักยภาพภายในถูกจำกัดด้วยความเคยชิน ค่านิยม และประสบการณ์ในอดีต  จึงวนเวียน ดูเหมือนยังคงรักษาสภาพฝ่ายวิญญาณไม่ให้ร่วงหล่นได้ แต่ก็ไม่สามารถทะลุทลวงไปข้างหน้ามากขึ้นได้ ไม่สามารถลึกเข้าไปมากกว่าเดิมได้ เสมือนว่าถึงทางตัน บางคนอาจถึงจุดอิ่มตัวไปเลยก็เป็นได้ ***… Read More »

ความกลัวของเปโตร

มก.14:66-72 14:66 และขณะที่เปโตรอยู่ใต้คฤหาสน์ข้างล่างนั้น มีหญิงคนหนึ่งในพวกสาวใช้ของท่านมหาปุโรหิตเดินมา 14:67 เมื่อเห็นเปโตรผิงไฟอยู่เขาเขม้นดู แล้วพูดว่า “เจ้าได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย” 14:68 แต่เปโตรปฏิเสธว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจ” เปโตรจึงออกไปที่ระเบียงบ้าน แล้วไก่ก็ขัน 14:69 อีกครั้งหนึ่งสาวใช้คนหนึ่งได้เห็นเปโตร แล้วเริ่มบอกกับคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า “คนนี้แหละ เป็นพวกเขา” 14:70 แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีก แล้วอีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ว่าแก่เปโตรว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกเขาแน่แล้ว ด้วยว่าเจ้าเป็นชาวกาลิลี และสำเนียงของเจ้าก็ส่อไปทางเดียวกันด้วย” 14:71 แต่เปโตรเริ่มสบถและสาบานว่า “คนที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้จัก” 14:72 แล้วไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้แก่เขาว่า “ก่อนไก่ขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เมื่อเปโตรหวนคิดขึ้นได้ก็ร้องไห้ มธ.26:69-75 26:69 ขณะนั้นเปโตรนั่งอยู่ภายนอกบริเวณคฤหาสน์นั้น มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “เจ้าได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย” 26:70 แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง” 26:71 เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ระเบียง สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า “คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย” 26:72 เปโตรจึงปฏิเสธอีก ด้วยคำสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น” 26:73 อีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ นั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าก็ส่อตัวเจ้าเอง”… Read More »

การถวายอย่างฮันนาห์

การถวายของฮันนาห์ คือการถวายบุตร (ซามูเอล)   1. ฝากไว้กับพระหัตถ์พระเจ้า ♣    นางมีความกล้าในการมอบถวายให้แด่พระเจ้า สะท้อนถึงความวางใจพระเจ้าในชีวิตนาง ♣    นางให้กำเนิดบุตรที่รักหลังการเป็นหมันมาหลายปี หลังการทนทุกข์จากการถูกเหยียดหยามจากภรรยาร่วม เมื่อนางให้กำเนิดบุตรคนนี้ นางหาได้ลืมคำมั่นที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของนาง หรือละเลยไม่  แต่นางกล้าที่จะมอบคนที่รักและห่วงใย มอบถวายเลือดเนื้อเชื้อไขให้กับพระเจ้า ด้วยการตระหนักว่าพระพรการมีบุตรในครั้งนี้มาจากพระหัตถ์พระเจ้า ♣    ฮันนาห์ยังคงไปวิหารของพระเจ้าในทุกๆ ปีดังเช่นเดิม นั่นหมายถึง นางได้พบกับลูกเพียงปีละครั้ง    นางต้องใช้ความวางใจมากเพียงใด? เพื่อจะเชื่อและวางใจว่าพระเจ้าทรงดูแลบุตรของตนได้ดียิ่งกว่ามือของนางเอง สะท้อนถึงความเชื่อที่นางมีต่อพระเจ้าของตน ♣    นางไม่ได้ละทิ้งบุตรของนาง โดยปราศจากความรับผิดชอบแห่งผู้เป็นแม่  ซึ่งตามธรรมชาตินี้เอง ความรัก ห่วงหา คิดถึง การอยากครอบครอง อยากอยู่ใกล้ อยากเห็นหน้า ย่อมมีเป็นปกติธรรมดา … แต่นางถวายซามูเอลไว้ในวิหารของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ  มอบสิทธิต่างๆ ที่พึงมีให้กับพระเจ้าอย่างแท้จริง ยิ่งคิดถึงสักเพียงใด  นางยิ่งต้องวางใจในพระเจ้ามากเพียงนั้น 2. ไม่เอาคืน ♣    การมอบถวายแด่พระเจ้าของนางฮันนาห์ ไม่ได้ให้แล้วเอาคืน  ไม่ได้ให้เพียงครั้งครา แต่ให้กับพระเจ้าแบบให้แล้วให้เลย แม้นางจะคิดถึงลูกเพียงใด แม้จะมีสิทธิที่จะเอาลูกกลับมาก็ได้ แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น เพราะนางได้มอบแด่พระเจ้าแล้ว… Read More »

ความปรารถนาที่มากขึ้นกับการเรียกร้องที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

☆ เมื่อความเจ็บปวดปะทุขึ้น ประตูแห่งการเยียวยาก็เปิดออกตรงหน้าแล้ว… ☆ เมื่อเรียกหาพระเจ้า แผ่นดินของพระองค์ก็มาตั้งอยู่ตรงหน้าแล้ว… ☆ เมื่อร้องขอการช่วยกู้ พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์พระองค์ออกมาแล้ว ตรงหน้าเรา… แต่มนุษย์มักอยากรับในสิ่งที่ตนอยากได้ แต่ไม่พึงอยากจะจ่ายออก หรือสูญเสียสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย กอดรัดมันไว้แน่น แม้พระเยซูอยู่ตรงหน้าก็ตามที ลก.18:18-25 18:18 มีขุนนางผู้หนึ่งทูลถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก” 18:19 พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า “ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว 18:20 ท่าน รู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’” 18:21 คนนั้นจึงทูลว่า “ข้อเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ มา” 18:22 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินอย่างนั้นพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่และแจกจ่ายให้คนอนาถา ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา” 18:23 แต่เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นก็เป็นทุกข์นัก เพราะเขาเป็นคนมั่งมีมาก 18:24 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นเขาเป็นทุกข์นัก พระองค์จึงตรัสว่า “คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากจริงหนา 18:25 เพราะว่าตัวอูฐจะรอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”   ความปรารถนาที่มากขึ้นกับการเรียกร้องที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว เศรษฐีจะรอดรูเข็มก็ยากเสียยิ่งกว่า… Read More »

บทเพลงของโมเสสและมิเรียม

อพย.15:1-21 15:1 ขณะนั้นโมเสสกับชนชาติอิสราเอลร้องเพลงบทนี้ ถวายพระเยโฮวาห์ว่า “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล 15:2 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นกำลังและเป็นบทเพลงแห่งข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้ข้าพเจ้ารอด พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกย่องสรรเสริญพระองค์ 15:3 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นนักรบ พระนามของพระองค์คือ พระเยโฮวาห์ 15:4 พระองค์ทรงเหวี่ยงรถรบ และโยนพลโยธาของฟาโรห์ลงในทะเล นายทหารรถรบชั้นยอดของฟาโรห์ก็จมในทะเลแดง 15:5 น้ำท่วมเขา เขาจมลงในทะเลที่ลึกประดุจก้อนหิน 15:6 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงอานุภาพยิ่ง โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ฟาดศัตรูแหลกเป็นชิ้นๆ 15:7 ด้วยเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงคว่ำปฏิปักษ์ของพระองค์เสีย พระองค์ทรงใช้พระพิโรธของพระองค์เผาผลาญเขาเสียอย่างตอฟาง 15:8 โดยลมที่ระบายจากช่องพระนาสิกน้ำก็ท่วมสูงขึ้นไป น้ำก็ท่วมท้นสูงขึ้น น้ำก็แข็งขึ้นในท้องทะเล 15:9 พวกข้าศึกกล่าวว่า ‘เราจะติดตาม เราจะจับให้ทัน เราจะริบสิ่งของมาแบ่งปันกัน เราจึงจะพอใจที่ได้กระทำกับพวกนั้นดังประสงค์ เราจะชักดาบออก มือเราจะทำลายเขาเสีย’ 15:10 พระองค์ทรงบันดาลให้ลมพัดมา น้ำทะเลก็ท่วมเขามิด เขาจมลงในกระแสน้ำอันไหลแรงนั้นเหมือนตะกั่ว 15:11 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์… Read More »

เผชิญหน้ากับพระเจ้า

ในการเดินติดตามพระเจ้าของแต่ละคนนั้น  จำเป็นต้องมีช่วงเวลาที่เผชิญหน้ากับพระเจ้าด้วยตัวเอง   เพื่อจะสามารถกล่าวได้ว่า พระเจ้าเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ไม่ใช่แค่เพียงพระเจ้าของบรรพบุรุษ หรือผู้ที่ได้สอนเรามา หรือเพียงแค่ได้ยินมา   ตัวอย่างบุคคลในพระคัมภีร์   การเผชิญหน้ากับพระเจ้าของอิสอัค 1.    อิสอัค ♥    แม้เขาอายุ 30 ปีแล้ว อยู่ในบ้านของผู้ที่รักและมีประสบการณ์กับพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม ถึงขนาดได้รับการขนานนามว่า “สหายของพระเจ้า” (อับราฮัมผู้เป็นพ่อ)… แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามอิสอัคยังคงดำเนินชีวิตกับพระเจ้า แบบที่พระเจ้าเป็นพระเจ้าของบิดา สังเกตจากคำของเขามักเอ่ยว่า … “พระเจ้าของอับราฮัมบิดาของข้าพเจ้า” … และพระเจ้ามีแผนซ้อนแผน การเรียกให้อับราฮัมถวายอิสอัค ไม่เพียงแค่เป็นบททดสอบของอับราฮัมเท่านั้น แต่ยังเป็นการเรียกอิสอัคเข้าสู่การเผชิญหน้ากับพระเจ้าโดยตรง มีหรือ?? ชายหนุ่มอายุ 30 ปี จะไม่รู้ว่าพ่อมัดตัวเองทำไม?? … อาจใช่… ที่เขาไม่รู้ทั้งหมด แต่จากการอธิบายของพ่อได้บอกลูกว่า “จะถวายบูชาแด่พระเจ้า”  เมื่อถึงที่หมายเขามองหาแกะไม่เจอแต่ตนเองต่างหากที่ถูกมัดไว้บนแท่นนั้น … ♥    *** อิสอัครู้ได้ทันทีเลยว่าตนเองต่างหากที่พ่อนำมาเป็นเครื่องถวายบูชาแด่พระเจ้า แต่ในขณะนั้นเองการตัดสินใจเพียงเสี้ยวเดียวที่จะยอมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าผ่านการกระทำของพ่อ และการยอมจำนนโดยไม่ขัดขืน แม้ในขณะนั้นเรี่ยวแรงของเขาอาจมากกว่าพ่อก็เป็นได้ เพราะเขาเป็นหนุ่มฉกรรจ์เต็มวัย 30  ส่วนพ่อก็ปาเข้าไปกว่า 130 แต่อิสอัคก็ยังคงอยู่ตรงนั้น  เหตุนี้เมื่อพระเจ้าทรงยับยั้งอับราฮัมที่มือเงื้อมออกจะปริดชีพลูกและส่งแกะมาแทนที่… Read More »

เราต่างเลือกซึ่งกันและกัน

เคยมีคนกล่าวอยู่เสมอๆ ว่า “พระเจ้าเลือกเราก่อน ไม่ใช่เราเลือกพระเจ้า” เป็นความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเลือกเราก่อน ตั้งแต่ก่อนเริ่มสร้างโลกและอยู่ในครรภ์มารดา เราไม่ได้ถูกเลือกเมื่อเราเป็นคนดีขึ้น เก่งขึ้น มีความสามารถ แต่เราถูกเลือกไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิด ยังไม่มีตัวตนเลยด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าเวลานั้นที่เราถูกเลือก เราไม่มีแม้แต่ความสามารถ คุณสมบัติ ความรู้ ความเก่ง หรืออะไรทั้งสิ้น ไม่สามารถสร้างประโยชน์อันใดเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่พระเจ้าเลือกเราได้เลย… แต่ความจริงอีกประการหนึ่งมีอยู่ว่า ไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าเท่านั้นที่เลือกเรา เราต้องเลือกพระองค์ด้วยเช่นกัน การมีปฏิสัมพันธ์ต้องไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น หากพระเจ้าเลือกเราแต่เราไม่เลือกพระเจ้า จะไม่เรียกว่า “ความสัมพันธ์” เลย (ซึ่งก็ผิดไปจากปกติคริสเตียน เพราะคริสเตียนคือบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า) มันจะเกิดขึ้นเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ แม้ว่าพระองค์จะทรงริเริ่มทำก่อนก็ตาม การตายบนกางเขนของพระเยซูทรงเริ่มกระทำทั้งที่มนุษย์ยังเป็นคนบาป ในขณะที่มนุษย์ยังไม่ตอบสนองเลยด้วยซ้ำ เป็นการลงทุนที่เทออกก่อนเพื่อเรา เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ แต่การไถ่ การช่วยกู้ จะเป็นผลเมื่อมนุษย์ตอบสนองและเลือกพระองค์เท่านั้น!!! การเลือกของพระเจ้าที่มีต่อเราแต่แรกเริ่ม >> สะท้อนผ่านกระบวนการสร้างชีวิตของเรา ตั้งแต่ครอบครัว พ่อแม่ญาติพี่น้อง สภาพแวดล้อม ที่สร้างและหล่อหลอมเรามาให้โตและกลายเป็นคนประเภทไหน จนเป็นเราแต่ละคนในวันนี้ เพราะพื้นฐานเหล่านี้เองเมื่อถึงเวลาที่เราเติบโตจนถึงจุดที่เราจะพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยตนเอง หรือการรับใช้ หรือค้นพบการทรงเรียก เราจะพบและมองเห็นว่ากระบวนการตั้งแต่แรกเริ่มในชีวิตของเราช่างส่งเสริมการที่เราได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น ลึกซึ้งขึ้น เสียนี่กระไร… เช่น คนที่พบเจอความยากลำบากมาตั้งแต่เด็กจะมีพลังในความอดทนสูงกว่าคนปกติทั่วๆ ไป เมื่อเติบโตขึ้นมาไม่ว่าสถานการณ์จะยากลำบากแค่ไหน… Read More »

ดาวิดกับการคร่ำครวญเพราะบาปล่วงประเวณี

ดาวิดคร่ำครวญเพราะบาปที่เขาทำไป เขารู้อยู่ว่าพระเจ้าจะพิพากษาด้วยการให้ลูกชายที่เกิดมาจากบาปครั้งนี้ตายไป แต่เขาก็ยังคงใส่ผ้ากระสอบอดอาหารคร่ำครวญและวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แม้เขาจะรู้แล้วก็ตามว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ในขณะที่เวลากำลังเคลื่อนผ่านคำตัดสินนั้นไป เขาไม่ได้นิ่งเฉย แต่กลับทำส่วนของตนเองอย่างที่สุด ร้องขอ ใจลึกๆ คงคาดหวังว่าพระเจ้าจะเปลี่ยนพระทัยกลับสถานการณ์ แต่อีกใจเขาก็รู้อยู่เต็มอกถึงพระลักษณะของพระเจ้าทุกด้านทั้งทรงคุณ เมตตา และเด็ดขาด ใจที่กำลังสลายเพราะบาปที่ได้ก่อขึ้น เขาผ่านคืนวันเหล่านั้นด้วยการคร่ำครวญอยู่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา ด้วยหวังว่าพระองค์จะเป็นผู้ปลดปล่อยและให้อภัยเขาจากบาปนั้น ที่สำคัญเขาได้แสดงการกลับใจอย่างแท้จริง เพื่อให้เขาสามารถออกจากบาปเหล่านั้น ทิ้งบาปเหล่านั้นได้ เพราะมันได้เกาะกุมชีวิตเขา …. การปล้ำสู้ด้วยการวิงวอนนี้เป็นการบอกว่า … เขากำลังสู้กับบาปนั้นอยู่จนกว่าบาปเหล่านั้นจะไม่มีผลต่อเขาอีกต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยบทเรียนพิเศษที่แสนสาหัสก็ตาม เพราะบางสิ่งเราจะไม่เข้าใจเลย จนกว่าจะได้รับบทเรียน … การนั่งอยู่ตรงนั้นของดาวิดไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการขอกำลังที่จะผ่านพ้นเวลาเหล่านี้ไปได้ด้วย (ซึ่งสะท้อนภาพของพระเยซูในขณะอธิษฐานที่เกธเซมเน)… จนกระทั่งเมื่อบุตรชายคนนี้ได้ตายลง … ดาวิดลุกขึ้นแต่งกายตามปกติทั้งยังกินอาหารอย่างเต็มอิ่ม เพราะเขารู้ว่าเวลาแห่งการพิพากษาโทษเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว  เขาไม่หลงเหลืออาการหรือวี่แววของการขุ่นเคืองพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย และด้วยการคร่ำครวญกลับใจอย่างที่สุดของดาวิดนั่นเอง นำมาซึ่งพระพรใหม่ที่พระเจ้าประทานให้ หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาอันแสนสาหัสของเขาและจัดการเคียร์ชีวิตให้หมดจดจากบาปล่วงประเวณีแล้ว นั่นคือ การประทานบุตรชายคนใหม่อย่างถูกต้องให้กับเขา คือ ซาโลม่อน     ดาวิดกับการคร่ำครวญ 1.    การปล้ำสู้ด้วยการวิงวอนและแสดงออกถึงการกลับใจอยู่ต่อหน้าพระองค์ด้วยใจที่เป็นทุกข์หนักกับความบาปที่ได้กระทำหรือเข้ามา เป็นการกระทำอย่างที่สุดที่มนุษย์พึงกระทำต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 2.    แม้รู้ทั้งรู้ว่าผลแห่งความบาปนี้คือสิ่งใด การกระทำเช่นนี้เป็นการถ่อมลงยอมรับด้วยการคร่ำครวญ และแสดงถึงการกลับใจใหม่ การต้องการพระองค์อย่างแท้จริง 3.  … Read More »

กระบวนการสร้างของพระเจ้า

—> รู้ —> เข้าใจ —> เป็นชีวิต —> = แสวงหา การแสวงหาพระเจ้าเป็นพื้นฐานในการเริ่มต้นและก้าว step ต่อไปมากขึ้น พระเจ้าจะเปิดเผยให้เราได้รับรู้ก่อน ไม่ว่าจะการสำแดง การสอน ข้อมูล หรือทางใดก็ตาม (วิธีการของพระเจ้าแล้วแต่คนนั้นๆ ที่เหมาะสม) หลังจากได้รู้แล้วการแสวงหาพระเจ้าต่อไปจะเป็นการนำสู่กระบวนการต่อไป คือ กระบวนการของความเข้าใจในสิ่งที่รู้ ซึ่งพระเจ้าจะสอนเรามากขึ้น ผ่านสารพัดสิ่งในชีวิต เช่น สถานการณ์ จนกระทั่งเราเกิดความเข้าใจในสิ่งที่รู้ เพื่อเปลี่ยนกระบวนการความรู้ที่สมองเป็นกระบวนการความเข้าใจที่จิตใจ เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น หากเรายังไม่หยุดที่จะแสวงหาต่อไป จะนำเราก้าวเข้าสู่กระบวนการเป็นชีวิต จากความรู้ที่สมอง เป็นความเข้าใจที่ใจ และจะกลายเป็นธรรมชาติชีวิตที่เป็นทุกส่วนหรือส่วนหนึ่งของชีวิต   กระบวนการสร้างของพระเจ้า ** ข้อสังเกตุ ทุกกระบวนการต้องมีการแสวงหาเป็นพื้นฐานหลักเพื่อก้าวไปต่อ เพราะใจที่แสวงหาทำให้ได้รับมากยิ่งขึ้น และการไม่หยุดนิ่งที่จะแสวงหา นำพาไปสู่กระบวนการที่สูงขึ้นจนได้มาซึ่งการเป็นชีวิต เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า นั่นหมายถึงพระองค์จะสามารถทำงานในเราได้มากขึ้น เพราะเป็นการเปิดประตูต้อนรับพระองค์ในส่วนนั้นๆ 10/12/2013 12:43

หากล้มลง… ก็ล้มในพระหัตถ์พระเจ้า

มีหลายเรื่องราวที่ไม่สามารถตอบทุกคำถามได้ในทันที นั่นไม่ใช่เพราะไม่มีคำตอบ แต่เพราะน้ำหนักของคำตอบยังไม่ถูกพิสูจน์จนเป็นที่ยอมรับต่างหาก การจะพูดอะไรออกไปจึงแทบไม่เป็นผล สู้ทนนิ่งเงียบและใช้เวลาพิสูจน์ผลเสียจะดีกว่า…   การจะเริ่มต้นทำในสิ่งที่เป็นตัวของเราเองตามการทรงเรียกที่เฉพาะเจาะจงนั้น ย่อมมีความแตกต่างและแปลกประหลาดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะถ้าการทรงเรียกนั้นๆ ที่มาถึงเรามีคนจำนวนน้อยที่มีประสบการณ์ด้วย เพราะบางของประทาน บางการทรงเรียกก็เป็นแบบมวลชน คือ คนหมู่มากทำกัน เช่นทีมนมัสการ นักประกาศ หรืออะไรก็ตาม แต่จะมีบางคนเท่านั้นที่พระจ้าเรียกเป็นพิเศษที่คนจำนวนน้อยเหลือเกินที่ถูกเรียกเช่นนี้ แน่นอนการมีตัวชี้วัดก็เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้พลาดจากกรอบหลักการของพระเจ้า นอกจากวัดเทียบด้วยพระคัมภีร์แล้ว บุคคลในพระคัมภีร์ก็คืออีกทางหนึ่งที่สามารถเทียบวัดได้ในด้านประสบการณ์และการทรงเรียก ของประทาน อีกทั้งคนในอดีตและปัจจุบันด้วย   *** เพราะแท้จริงสิ่งที่สำคัญคือ พระองค์กำลังเรียกให้เราทำสิ่งใด เรามีหน้าที่ทำเท่านั้นเอง นี่แหละที่เรียกว่า “ตอบสนองพระเจ้า”   อย่ากลัวที่จะผิดพลาดหรือล้มลง หากจะล้มในพระหัตถ์พระเจ้า   แต่แน่นอนชีวิตบนโลกย่อมต้องถูกพิสูจน์ ทองเนื้อแท้ต้องถูกพิสูจน์ ซึ่งระหว่างทางแห่งการพิสูจน์นั้น เราไม่เพียงพิสูจน์ว่าเรากำลังเดินตามการทรงเรียกอย่างแน่วแน่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสายตามนุษย์สักวันหนึ่ง ให้พระเกียรติเป็นของพระเจ้าในวันที่เราเสร็จสิ้นภาระกิจเท่านั้น แต่มันกำลังพิสูจน์ตัวเราเองกับพระเจ้าว่าเราจะถวายเกียรติพระองค์ได้อย่างไรเป็นการส่วนตัวแบบเป็นชีวิต ไม่เพียงเท่านั้นเรากำลังพิสูจน์พระเจ้าผู้ทรงเรียกเราด้วยว่าพระองค์เรียกเราเพื่อการนี้จริงหรือไม่ กำลังพิสูจน์ตัวเองต่อพระเจ้าด้วยว่าเรายินดีตายต่อตัวเองเพื่อสิ่งที่ทรงเรียกเราแค่ไหน เพื่อที่จะตอบสนองพระองค์เพียงใด   ซึ่งระหว่างทางแห่งการตอบสนองนี้ ย่อมมีทั้งการเรียนรู้ การขัดเกลา การลองถูกลองผิด การผิดพลาด การชำระและการฝึกปรือ ทุกอย่างอย่างครบรส บางครั้งดูเหมือนจะท้อแท้จนคิดได้เลยว่า เราเดินมาถูกทางหรือเปล่า? ..แต่ก็นั่นแหละเมื่อลองพิจารณาดูแล้วก็ไม่เหลือหนทางอื่นใดให้เราเดิน นอกเสียจากเดินหน้าตามเสียงที่เรียกเราแบบก้าวต่อก้าว… Read More »