ชายผู้รู้ทุกสิ่ง มีทุกอย่าง แต่กลับต้องทุกข์ใจ เพราะไม่กล้าละทิ้งสิ่งที่มีเพื่อติดตามพระเยซูไป
เขาจึงยังคงอยู่กับที่ เท่าเดิม แบบที่มี
ด้วยหัวใจปรารถนาอยากจะรู้จักพระคริสต์ที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น
ด้วยความหวังจะขยายขอบเขตชีวิตฝ่ายวิญญาณมากกว่าเดิม(ที่เป็นอยู่)
ด้วยใจถ่อมลงอยากจะได้รับคำตอบจากปากพระคริสต์
แต่คำตอบนั้นกลับทำให้เขาต้องทุกข์ใจ เพราะสารพัดสิ่งที่มีอยู่ในมือ ที่เคยเป็นประโยชน์เสมอมากลับกลายเป็นอุปสรรคฉุดรั้งในการตอบสนองพระเจ้าซะอย่างนั้น
มธ.19:16-22
16 นี่แน่ะ มีคนหนึ่งมาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำความดีอะไรบ้าง จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?”
17 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านถามเราถึงสิ่งที่ดีทำไม? ผู้ที่ดีมีแต่ผู้เดียว ถ้าท่านต้องการจะเข้าสู่ชีวิตก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้”
18 คนนั้นทูลถามว่า “คือพระบัญญัติข้อไหนบ้าง?” พระเยซูตรัสว่า “‘ห้ามฆ่าคนห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขาห้ามลักทรัพย์ ห้ามเป็นพยานเท็จ
19 จงให้เกียรติบิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ ”
20 ชายหนุ่มคนนั้นทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้ารักษาข้อเหล่านั้นทุกข้ออยู่แล้ว ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง?”
21 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านต้องการจะเป็นคนดีพร้อม จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงตามเรามา”
22 เมื่อชายหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สินจำนวนมาก
ลก.18:18-23
มก.10:17-22
ชายผู้นี้…
• หาใช่ไม่รักพระเจ้า
• หาใช่ไม่เดินตามพระบัญญัติ
เพียงแต่เขา
– ไม่สามารถไปได้ลึกกว่านี้
– ไม่สามารถมอบถวายได้มากกว่าที่เป็นอยู่
– ไม่สามารถตอบสนองตามที่พระองค์เปิดเผยได้ทุกอย่าง
– *** อันเนื่องจากได้ขีดเส้นไว้แล้วว่า “ยินดีมอบให้พระเจ้าเพียงเท่านี้”
แน่นอนว่า … ไม่ผิดที่เขาจะเลือกในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ และรักษามันไว้ แต่การเลือกนี้ ย่อมทำให้เขาไม่สามารถเป็นอย่างที่เขาอยาก หรือ ปรารถนาไว้ได้ เพราะแผ่นดินของพระเจ้าไม่สามารถแลกได้ด้วยเงินตรา หรือ สิ่งต่างๆ บนโลกนี้ แต่ได้มาซึ่งการสละสิ่งสารพัดบนโลกนี้ แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมให้
เศรษฐีหนุ่ม
1. อย่าหลงลืมว่า สิ่งสารพัดบนโลกนี้ ได้มาจากพระคุณพระเจ้า เบื้องหลังพระพร คือ พระเจ้าผู้อวยพร อับราฮัมมีทรัพย์สินมากมายกว่าเศรษฐีคนนี้ แต่เขายินดีสละมัน เพื่อติดตามพระเจ้า ดังนั้น เหตุผลของการถือครองจึงไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นหลัก คือ หัวใจภายในที่เราปรารถนาจริงๆ ต่างหากว่า เป็นพระคริสต์แท้จริงหรือไม่
คนมากมายอยากจะได้รับการอวยพรแบบคนนั้น คนนี้ แต่กลับไม่ต้องการจ่ายราคาเช่นเดียวกับเขา ปรารถนาจะรับการสำแดง แต่ไม่ต้องการจะตอบสนองตามทุกการสำแดง
พระเจ้าทรงชันสูตรใจมนุษย์และทรงรู้แน่แท้ ถ่องแท้ ว่า เราแต่ละคนเป็นเช่นไร ดังนั้น เอกสิทธิ์การสำแดงและการมอบให้กับเราแต่ละคนจึงแตกต่างกันออกไป นั่น ไม่ใช่เพราะพระเจ้าลำเอียง แต่เพราะเนื้อแท้ของเราแตกต่างกัน
2. เศรษฐีหนุ่มคนนี้ยังคงสามารถดำเนินชีวิตท่ามกลางสิ่งที่มีได้ดังเดิม เพียงแต่เขาได้สละสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าไปเสียเรียบร้อยแล้ว เพื่อรักษาสิ่งที่อาจเสื่อมสลายบนโลกนี้ได้ แน่นอนว่า ตลอดการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เขาอาจอยู่อย่างสุขสบายได้เรื่อยๆ แต่เขาไม่อาจเข้าถึงหัวใจ หรือ แก่นแท้ของแผ่นดินสวรรค์ โดยเฉพาะแผ่นดินสวรรค์ที่มาตั้งอยู่บนโลกนี้
3. พระเยซูไม่ได้ทรงรังเกียจเขาที่เลือกเช่นนั้น แต่กลับเป็นที่น่าเสียดายที่ทรงสำแดงทางอย่างชัดแจ้งแก่เขาแล้ว แต่เขากลับไม่สามารถตอบสนองได้ … หลายครั้งพระเจ้าทรงสำแดงทางเดินแก่คนของพระองค์อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว แต่ก็น่าเสียดายที่มีคนเพียงจำนวนน้อยมากๆ ที่สามารถตอบสนองตามได้
แน่นอนว่า นั่น ไม่ได้สั่นคลอนความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราให้ลดน้อยลง แต่การขยายชีวิตย่อมแปรผันตรงกับขนาดการจ่ายราคา และยอมจำนน ซึ่งแต่ละคนย่อมมีจุดที่ทรงเรียกแตกต่างกัน
กรณีของเศรษฐีคนนี้ คือ สิ่งที่เขาครอบครอง แต่กรณีของเรา คืออะไร??? … การงาน การเงิน สิ่งที่อยากได้ คนที่ยึดติด ประสบการณ์ในอดีต ทัศนคติของตนเอง …
แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หากสามารถสละมัน เพื่อติดตามพระคริสต์ เพื่อไปต่อข้างหน้าได้ ย่อมทะลุทะลวงเป็นแน่ เพราะพระคริสต์คงไม่สามารถหยุดอยู่ตรงนี้ แล้วละทิ้งภาระกิจกางเขนที่ต้องไปให้ถึง เพื่ออยู่กับเขาได้
2016-12-15