ในบางเรื่องราว เราไม่สามารถสรุปและให้คำตอบได้ในทันที เพราะหลายครั้งเราเองก็ไม่รู้ชัดเจนว่าสิ่งที่พระองค์กำลังทำอยู่ คือสิ่งใด…สิ่งที่เราพอจะทำได้และควรทำคือ อดทนและเรียนรู้จากพระองค์ไปทีละก้าว ทีละขั้นตอน …ยิ่งเรื่องใด สิ่งใดที่เราต้องใช้ระยะเวลากว่าจะรู้และเข้าใจ นั่นแสดงว่า พระเจ้าได้นำเราเข้าสู่กระบวนการแห่งการเรียนรู้และพัฒนาชีวิตของเราบางด้าน
เหมือนดังภาพ : การเรียนภาษาอังกฤษ เราไม่สามารถเป็นได้ในวันเดียว เพราะเราไม่คุ้นเคยและมันไม่ใช่ภาษาที่เราใช้อยู่ทุกวัน ไม่ใช่ของเรา เราจึงต้องค่อยๆ เรียนไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะพูดได้ ฟังได้และพบปะกับเจ้าของภาษาได้
แม้จะมีบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเราเป็นการส่วนตัว หรือการสำแดงใดๆ ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราจะเข้าใจในทันทีหรือใช้เวลาอันสั้น เพราะเรื่องบางเรื่องเราก็ต้องให้เวลาตัวเองในการเรียนรู้ด้วยเช่นกัน
….ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับ…
~ ขนาดของเรื่องนั้นว่าใหญ่แค่ไหน เรื่องใหญ่เรื่องซับซ้อนมากเพียงใด อาจใช้เวลามากเท่านั้น ขนาดชีวิตที่รองรับ
~ การจดจ่อและการเปิดใจของเรา การที่เราเปิดใจออกเร็วเท่าไรก็จะได้รับการเปิดเผยความจริงบางประการที่เรา ไม่เข้าใจเร็วเท่านั้น เพราะการสำแดงของพระเจ้าจะไม่มาถึงคนที่มีใจอคติและใจลำเอียง เนื่องจากมนุษย์มีแนวโน้มทำสิ่งต่างๆตามใจปรารถนาของตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว เพียงแค่นี้เขาก็พร้อมจะอ้างในสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ทำและไม่ได้ตรัส การที่พระเจ้านิ่งเมื่อเราอคติก็เพื่อให้เราจัดการกับตัวเอง ความชัดเจนจะมาหลังจากที่เราได้ clean&clear ตัวเองได้อย่างดีแล้ว เมื่อเราจัดการตัวเองให้ปราศจากอคติที่ตกค้างภายในแล้วคุณภาพการจดจ่อที่พระ เจ้าก็สูงขึ้นแทนที่การบังคับให้พระเจ้าตอบตามที่ภายในลึกๆของเราหมายปองไว้
~ เวลาของพระเจ้ามาถึง ส่วนนี้สำคัญมากที่สุด พระเจ้ามีเวลาให้กับเราแต่ละคน และพระองค์ทรงรู้ว่าเวลาใดคือเวลาของเรา ดังนั้นการอดทน นิ่งรอคอย บังคับตนให้อยู่ภายใต้พระวิญญาณบริสุทธิ์จนผลนั้นเกิดกับเราอย่างเต็มขนาด ปัญหาส่วนใหญ่ของมนุษย์ คือ มักอดทนรอจนเวลานั้นมาถึงไม่ไหว บ้างก็ออกตัวไปก่อน บ้างก็พลาดพลั้ง บ้างก็เลิกลาไปเลย เพราะคิดว่าเวลาของพระองค์ไม่ทันใจเราเลย
1. เราไม่ใช่ผู้รู้ทุกสิ่ง ไม่ได้สัพพัญญูเหมือนพระเจ้า ดังนั้นเราจึงไม่รู้ทุกสิ่งอย่างครบถ้วนทุกมิติ ทั้งด้านกายภาพ จิตใจ จิตวิญญาญ อารมณ์ กาลเวลา หรือแม้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง….ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงจำเป็น ต้องช้าลงที่จะกล่าวสรุปหรือตัดสินสิ่งใดๆ เพราะเมื่อการเปิดเผยหรือความจริงอีกมุมถูกเปิดออกมา เราจะได้ไม่สูญเสียความมั่นใจที่มันคลาดเคลื่อนไปจากที่เราคิด ที่เราพูดและ จะได้ไม่ต้องเสียใจที่ได้ด่วนสรุปออกไปอย่างนั้น
2. เราไม่ใช่คนเดียวที่เก่งหรือรู้สิ่งต่างๆ พระเจ้าใช้เราฉันใดพระองค์ก็ใช้ผู้อื่นฉันนั้น พระเจ้าเปิดเผยบางสิ่งกับเราในขณะเดียวกันพระองค์ก็อาจเปิดเผยบางสิ่งในเรื่องเดียวกันแต่คนละมุม คนละจุดกับอีกคนที่พระองค์ใช้เช่นเดียวกับเราก็เป็นได้ และบางสิ่งพระเจ้าก็ใช้อีกคนที่เหมือนกับเรา เพื่อช่วยกันเสริมกันก็ตามแต่พระองค์และขนาดของภาระกิจนั้นๆ ในอาณาจักรของพระเจ้าทุกคนล้วนสามารถเป็นคนที่พระเจ้าใช้ได้ทั้งสิ้น และคุณค่าของแต่ละคนก็มีมากเกินกว่าที่เราประเมินเสียอีก *** ดังนั้น… ใครก็ตามที่พระเจ้าใช้ก็เป็นสิทธิ์และสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่พระองค์ทรงทำ
3. เราต้องให้เกียรติพระเจ้าและผู้อื่น
เป็นพระเจ้าไม่ใช่หรือที่ถือสิทธิ์นั้น…สิทธิ์แห่งการเปิดเผย การสำแดงและการเลือก?….ใช่แล้วเป็นพระองค์…ดังนั้นเราจึงต้องให้เกียรติ พระเจ้าและเชื่อมั่นในพระองค์ เรายืนในจุดของเราแทนการแบกรับจุดยืนของผู้อื่น และให้เกียรติการสำแดงและสิ่งที่พระเจ้ามอบให้กับผู้อื่นเหมือนที่พระเจ้า ให้เกียรติเรา และเหมือนที่เราอยากให้ผู้อื่นให้เกียรติเราด้วยเช่นกัน
4. บางครั้งพระเจ้าจะทำการเปิดม่านตาเรา เพื่อให้เราเห็นในสิ่งที่กว้างกว่าแค่ตนเอง หรือสิ่งที่เราเคยๆ และขยับขยายขอบเขตให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในการเข้าใจ
19/11/2011 0:25