บาง เวลาเราอาจค้นพบว่า..เส้นทางที่เรากำลังก้าวเดินเมื่อเริ่มต้น….มีคนมากมายที่เริ่มด้วยพร้อมๆ กับเรา แต่เมื่อเราเดินไปเรื่อยๆ คนเหล่านั้นเริ่มลดน้อยลง อาจด้วย …
– การเร่งฝีเท้าที่ไม่เท่ากัน
– หรืออาจมาจากใครบางคนที่เลิกเดินเส้นทางนี้ไปแล้ว
– หรือหนทางที่เราเดินอาจผิดเส้น
– หรือเป็นไปได้ที่เราเดินมาถูกทางแล้วแต่เนื่องจากระยะทางที่แสนยาวไกล และทางก็แคบความสะดวกสบายค่อยๆลดน้อยลง การที่คนจะเดินไปจนถึงปลายทางย่อมลดลง
– หรืออาจเป็นไปได้ที่แต่ละคนค้นพบเส้นทางเดินของตนเอง ตามของประทาน การทรงเรียก เราจำต้องเดินไปยังเส้นทางย่อยของแต่ละคน แต่เส้นทางหลักยังคงเป็นเส้นเดียวกัน คือ เส้นที่มุ่งสู่ความไพบูลย์
ลักษณะทาง
1. เริ่มต้นด้วยทางกว้าง แต่เมื่อเดินไปอาจจะค่อยๆ แคบลง
2. ตลอดทั้งเส้นทางแคบ
3. ตลอดทั้งเส้นกว้าง
4. เริ่มต้นด้วยทางแคบ แต่เมื่อเดินไปอาจค่อยๆ กว้างขึ้นก็ได้
ไม่ว่าลักษณะเส้นทางจะเป็นแบบใดก็ตาม เป็นที่รู้กันอย่างแน่นอนแล้วว่า ทางของพระองค์นั้นก็แคบคนจะเดินก็น้อย ถ้าเราเลือกที่จะเดินกับพระเจ้าเราควรรับรู้และเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม แต่เนิ่นๆ เพื่อเราจะไม่ล้มเลิกในกลางคัน
ในระหว่างทางเดินนั้น..แม้จะแคบและเดินลำบากเราก็ไม่ได้เดินแต่ลำพัง บางเวลาอาจมีบ้างที่เรารู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้าง เพราะบางช่วงของทางนั้นมันแคบเสียจนเดินไปได้เพียงแค่ทีละคน หรือบางช่วงอาจต้องบีบตัวของเราเพราะมันแคบกว่าลำตัวของเราเสียอีก ….
ยิ่งสูง ยิ่งทางไกลออกไป ยิ่งลึกกับพระเจ้า บางครั้งดูเหมือนหาใครสักคนที่จะเข้าใจเราช่างยากเย็นเหลือเกิน บางครั้งอาจไม่ใช่เพราะคนไม่เข้าใจเรา แต่เพราะเราเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี การจะนั่งอยู่นิ่งๆ น่าจะช่วยเราได้ดี อย่างน้อยก็ทำให้เราได้ตั้งสติก่อนจะก้าวต่อไป…
บางเรื่องอาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย (ที่ว่านานเพราะส่วนใหญ่มันไม่ทันใจของเรา) กว่าเราจะเข้าใจและกว่าเราจะปรับตัวให้พบสมดุลย์ … ที่แท้จริงที่พระเจ้าต้องการในเรา ซึ่งเราจำเป็นต้องเรียนรู้ทั้งถูกและผิด ความผิดพลาดเป็นอีกสิ่งที่ดูเหมือนทำให้เราสั่นคลอน อาย ไม่กล้าที่จะก้าวต่อ…แต่ถ้าเราเรียนรู้จักมันและสามารถดึงบางสิ่งที่เป็นบทเรียนออกมาได้ มันจะไม่เสียเปล่าและมันจะมีคุณอนันต์ …คงจะเป็นการดีถ้าเราได้พบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต แต่เราจะเป็นเหมือนเด็กน้อยที่อยู่แต่ในบ้านโลกแสนสุขที่ไร้ภูมิคุ้มกัน….แต่หากเราพบเพียงความทุกข์ยากของความผิดพลาดแล้วเราจะเข้าใจความสุข ในแผ่นดินสวรรค์ที่เราต้องไปได้อย่างไร….เพราะแผ่นดินสวรรค์สมควรแก่บรรดา ผู้จ่ายราคา ดังนั้นเราจ่ายราคาให้กับความยากลำบากเพื่อพบความสุขแท้นิรันดรที่ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งใด ไม่มีเวลาใดมาพรากมันไปจากเราได้อีก …
ในความลึกที่พระเจ้ากำลังเข้าแทรกแซงเพื่อสร้างและมอบอีกความสัมพันธ์หนึ่ง อีกมิติแห่งเส้นทางให้กับเรานั้น
เราอาจไม่เข้าใจทั้งหมดในเวลาเดียวหรือไม่สามารถตอบได้ว่ามันถูกหรือผิด ในเมื่อเราเองก็ไม่รู้แน่!! เพราะเรายังอยู่ภายในกระบวนการ…และเวลาเช่นนี้แหละ ที่อาจนำความรู้สึกที่ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวมาให้กับเรา ….
มันเป็นความรู้สึกที่..
~ มั่นใจมากว่าพระเจ้ากำลังทำบางอย่างภายในเรา แต่เรากำลังไม่มั่นใจเลยว่า เรากำลังตอบสนองพระองค์ถูกต้องหรือไม่? มีอะไรในเราที่ขัดขวางพระองค์อีกไหม?
~ บางเวลาเสียงสะท้อนจากคนรอบข้างมันขัดแย้งหรือส่งเสริมความลึกนั้นกันแน่
~ เมื่อไรหนอ?? เราจะเข้าใจทั้งหมด
~ ……
แต่สิ่งหนึ่ง คือ บางครั้งเราต้องวางความรู้สึกเหล่านั้นลง รวมถึงบางเวลาเราจำต้องวางเสียงสะท้อนลง แต่ต้องไม่ได้มาจากท่าทีที่หยิ่งจนแตะไม่ได้ แต่มันจะมีจริงๆ ที่ความสนใจในการเรียนรู้กับพระเจ้าแบบตัวต่อตัวได้ถูก เบี่ยงเบน…ไม่มีใครในโลกนี้ที่อยากเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองไม่เคยพบเจอ ในสิ่งที่ตนเองไม่รู้แน่ เพียงลำพังหรอกนะ…เราต่างอยากมีใครสักคนที่ทำให้เราอุ่นใจ แต่ด้วยขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์ ด้วยของประทานการทรงเรียกและตำแหน่งที่พระเจ้าให้เราแต่ละคนยืน มันต่างกัน …เราไม่สามารถใช้ประสบการณ์ของใครมาตัดสินชีวิตของเราได้ และเวลาแบบนั้นที่เราต้องการ…คือ… พระองค์ผู้รอคอยให้เราได้เรียนรู้กับพระองค์แบบหน้าต่อหน้าตัวต่อตัว และพระองค์นี่แหละจะสามารถชี้จุดที่เป็นเราได้ตรงเป้ามากที่สุดทั้งข้อดีและ ข้อเสีย โดยที่เราไม่ต้องอธิบายใดๆเลยด้วยซ้ำ
ดังเช่น
~ เอเสเคียล : ผู้ไม่เคยมีประสบการณ์การสำแดงพิเศษและการเผยวจนะด้วยร่างกายท่าทางที่ออก จะประหลาดพิศดารมากทีเดียว แต่พระเจ้าเป็นผู้สอนเขาส่วนตัวและนั่นก็มาจากพระองค์โดยตรงและมีผลต่อชนทั้งชาติ
~ อิสยาห์ : ผู้ที่การทำนายของเขาส่วนใหญ่เล็งถึงการเสด็จมาของพระเยซูและยุคสุดท้าย การพิพากษา…มีใครบ้างหรือจะสอนเขาได้ และมีใครหรือที่เคยเป็นแนวให้เขาในอดีต …ไม่มีเลย เขาต้องเรียนรู้กับพระเจ้าเท่านั้น
~ ยอห์น : ผู้เตรียมมรรคาทั้งสิ้นให้พระเยซูทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้า หรือรู้เลยด้วยซ้ำว่าพระเยซู คือใคร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระองค์มีอยู่จริงในยุคของเขาหรือไม่
~ อับราฮัม : ผู้เชื่อฟังพระเจ้าว่าจะได้เป็นบิดาของชนทั้งชาติ แต่เขากลับตายก่อนได้เห็นด้วยตาตัวเองเสียอีก แต่ถึงกระนั้นเขาทำดุจว่ามันจะเกิดพรุ่งนี้แล้ว
คนเหล่านี้อาจเป็นคนเดียวในโลกที่มีประสบการณ์ส่วนตัวแบบนั้นก็เป็นได้ หรือเขาจะมองดูใครเป็นแบบอย่างให้เขาได้เล่าในเมื่อเรื่องเหล่านี้ไม่เคย เกิดกับใครทั้งสิ้น….
** เราไม่สามารถเอาประสบการณ์ของใครมาวัดตัวเราได้และเราก็ไม่อาจเอาประสบการณ์ของเราวัดใครได้อีกด้วย สิ่งที่เราสามารถวัดได้มีเพียงสิ่งเดียวคือ… เรายังไม่หลุดจากกรอบพระคัมภีร์ (BB) และการทรงเรียกของเราใช่หรือไม่
ยิ่งเราสูงเท่าไร ยิ่งเราลึกมากแค่ไหน สายตาของเราต้องมั่นคงที่พระองค์มากขึ้นเท่านั้น ความสั่นคลอนเพียงชั่วครู่อาจทำให้เรารู้สึกถึงความหนาวสะท้านปะทะตัวเราได้ ในทันที เราจำเป็นอย่างมากต้องเชื่อฟังเสียงของพระองค์ในตัวเราและมั่นใจในสิ่งที่พระเจ้าทำ เรากล้าที่จะยืนขึ้นให้ใครตรวจสอบเราเมื่อใด? เวลาไหน? เรื่องอะไร? ก็ได้ทั้งสิ้น…..
ยิ่งสูงยิ่งหนาว
1. เราต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากในการค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆเรียนรู้และพัฒนาไปเรื่อยๆ ทางที่ไม่คุ้นและไม่เคยหากเรารีบเร่งมันอาจพลาดพลั้งลงได้ ซึ่งนำความเสียหายแก่จิตวิญญาณมากเสียกว่า
2. เราจำเป็นต้องให้เกียรติทุกคนที่เป็นเสียงสะท้อนแต่เสียงเหล่านั้นเป็นส่วน เสริมเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและเป็นบทตรวจสอบในชีวิตของเรา เป็นไปได้อย่างมากที่จำเป็นต้องมีส่วนนี้เพราะพระเจ้าก็ปรารถนาให้เราเป็น ที่ตรวจสอบได้ทั้งต่อหน้าพระเจ้าและมนุษย์ อีกด้านหนึ่งเราต้องสามารถก้าวข้ามสภาวะแห่งการสั่นคลอนนี้เพื่อพระเจ้าจะ เปลี่ยนให้เป็นความมั่นคงได้
3. ยิ่งลึกมากเท่าไรเราต้องให้เกียรติพระเจ้ามากเท่านั้น มากเท่าๆ กับที่พระองค์ให้เกียรติเราเช่นกัน
4. จะมีบางเวลา บางเรื่อง และบางคนจริงๆ ที่พระเจ้าจะสอนเราเป็นการส่วนตัว เพื่อภาระกิจในการทรงเรียกของเรา ดังนั้นเราควรแยกตัวเพื่อการเรียนรู้นั้นๆ จะสำเร็จ (ไม่ได้หมายถึง ไม่คบใคร) แต่บางครั้งเราอาจต้องเก็บเรื่องที่เรายังไม่รู้ไม่เข้าใจไว้ภายในจนกว่าจะเข้าใจทั้งหมด (อย่าเพิ่งรีบแบ่งปันหรือเล่าให้ใครฟัง เพราะอาจทำให้เราไขว้เขว่ด้วยความคิดเห็นที่ปรารถนาดีของเขาเหล่านั้นได้) แต่เราสามารถหาใครสักคนที่ไว้ใจได้ เติบโตพอที่จะช่วยเราได้ เข้าใจในความเป็นเราทั้งการทรงเรียกและจุดอ่อนของเรา คนที่สามารถช่วยแนะนำและสนับสนุนเราได้ ให้กำลังใจเราได้
5. ความหนาวที่เกิดขึ้น เมื่อเรายิ่งสูงและยิ่งลึก เป็นเพียงความหนาวที่เข้ามาเมื่อเราแว๊บสายตาของเราไปที่มนุษย์หรือสิ่งที่ไม่ได้เป็นนิรันดรเท่านั้น แต่ตราบใดก็ตามที่เรายังคงจดจ้องที่พระเจ้า ความหนาวนั้นจะเปลี่ยนเป็นเมฆที่โอบล้อมและปกคลุมเราด้วยความอบอุ่น เพราะยิ่งสูงยิ่งใกล้ดวงอาทิตย์ ยิ่งเห็น ยิ่งสัมผัสในสิ่งที่คนอื่นที่ยังมาไม่ถึง ไม่ได้เห็นไม่ได้สัมผัส จึงเป็นปกติที่น้อยคนจะเข้าใจ เพราะคนที่ยืนตรงนั้นมีน้อยเหลือเกิน แต่วันนึง เขาก็จะไปถึงจุดนั้นของเขาเองด้วยเช่นกัน
6. บางเวลา (ซึ่งคือส่วนใหญ่) เราต้องต้องเลือกปล่อยมือระหว่างความอายกับพระเจ้า หรือระหว่างบางสิ่งกับพระเจ้า มือที่เรายอมปล่อยคือสิ่งใดและมือที่เรายอมคว้าคือสิ่งใด? … เราปล่อยมือหนึ่งเพื่อช่วยอีกมือหนึ่งให้มั่นคงและแข็งแรงยิ่งขึ้น แล้วอะไรที่เราเลือกจะปล่อยไป อะไรที่เราเลือกจะเหลือไว้ในมือของเรา??
ภาพ : 2 มือช่วยกันจับของ 1 สิ่งย่อมมั่นคงกว่า จับไว้อย่างละมือ
14/11/2011 9:58