เชื่อจนสุดปลายทาง

By | 2014/10/22

ความเชื่อเป็นรากฐานและเป็นเสมือนสิ่งที่เคียงคู่ตลอดเส้นทางการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า

แต่หลายครั้งความเชื่อกลับเป็นเรื่องที่ยากจะทำ และยากที่จะไปถึง…

การมีความเชื่อ ไม่เพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น คนมากมายเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และมันค่อยๆ ลดขนาดลงด้วยปัญหาอุปสรรคและสิ่งที่ล่อหลอกให้จดจ่อ แทนที่พระพักตร์และพระสัญญาพระเจ้า.. สถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่เป็นใจ ไม่ได้ดั่งใจ ทุกสิ่งดูเร่งเร้า แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ช้าเกินไปสำหรับใจเรา คือ สิ่งที่พระเจ้าทำ…

ความเชื่อในระยะเริ่มต้นลดลงอย่างวูบวาบ จนหลายครั้งไม่เหลือความเชื่อเลยด้วยซ้ำ บางครั้งอาจถึงขนาดละทิ้งแล้วที่พระเจ้าตรัสไว้ เพราะคิดว่ามองดูและพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีทางเป็นไปได้ตามที่พระเจ้าทรงตรัสเลย … กระบวนการทุ่มและกระโดดตัวเองเข้าสู่วิถีการคิดค้นงัดแงะแผนการณ์ของมนุษย์ได้เกิดขึ้นเป็นระรอกๆ

…แต่หาได้รับคำตอบไม่!!

…หาได้เป็นทางออกที่ดีไม่!!

…แต่กลับบานปลายออกไปเรื่อยๆ …

แท้จริงอะไรคือความผิดพลาดหรือ?
อะไรคือสิ่งที่ต้องเข้าใจและเรียนรู้หรือ?
อะไรกันแน่ที่จะสามารถนำพระพรมาถึงตัวเราจริงๆ?

การเริ่มต้นด้วยความเชื่อเป็นเรื่องยากแล้ว… แต่มันกลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายไปเลย หากเทียบกับการรักษาความเชื่อจนสุดปลายทาง….

ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะเริ่มต้นด้วยความเชื่อ หากเรารับบางสิ่งจากพระเจ้า >> เสียงตรัส ถ้อยคำสำแดง การดลใจ หรือแรงบันดาลใจก็ตาม… แต่ระหว่างทางใช่ว่าจะราบเรียบและรวดเร็วดั่งใจนึกเสมอไป อันเนื่องจากพระเจ้ามีพระประสงค์ชัดเจนในการสร้างความเชื่อที่มากขึ้นภายในตัวเราเอง

การพัฒนาความเชื่อ เป็นปกติวิถีของคริสเตียน และผู้ที่รักจะเดินติดตามพระเจ้า … ดังนั้นการที่พระเจ้าจะพัฒนาความเชื่อภายในเป็นการเจาะจงส่วนตัวกับเราจึงไม่ใช่เรื่องแปลก***

สาเหตุที่ทำให้เราขาดความเชื่อหรือสั่นคลอนในความเชื่อระหว่างทาง

1.    รอนานเกินไป

การรอคอยทำให้เกิดความคาดหวัง และปกติมนุษย์ปรารถนาการช่วยกู้และปรารถนาพระพรให้มาอย่างเร็วไว ในเวลาที่ตนเองคิดและกะเกณฑ์แผนไว้ในสมอง …  แต่เมื่อผิดไปจากแผนของตน ผิดไปจากระยะเวลาที่ตนคำนวน ความเร่งเร้าจึงเกิดขึ้น อันเนื่องมาจากตัวตั้งเงื่อนเวลาของเราเอง
ความวิตกกังวลเริ่มแทนที่ความเชื่อ
ความกระวนกระวายใจเริ่มแทนที่ความไว้วางใจ
ความอดทนเริ่มลดระดับลงอย่างรวดเร็ว
ความหวังใจเริ่มหมดไปตามระยะเวลาและระยะทางที่แสนยาวไกล
ท้ายที่สุดก็ล้มเลิกก่อนถึงเส้นชัย…

แท้จริงพระเจ้าไม่เคยช้าหรือสายเลยสักครั้งเดียว สักสิ่งเดียว แผนการณ์ของพระเจ้านิรันดร มั่นคง และถูกวางไว้แล้วอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ต้น เมื่อแผนทั้ง 2 (คือ แผนของเราเองกับแผนของพระเจ้า) ไม่บรรจบลงตัวกัน จึงทำให้เกิดความสั่นคลอนหวั่นไหว กับฝ่ายที่เร่งเร้า คือ ตัวเรานั่นเอง… แต่เมื่อใดก็ตามที่เราปรับแผนของตนเองให้ตรงกับแผนของพระเจ้า จะค้นพบว่า … แท้จริงมันไม่นานเกินไป และไม่สายเกินไปอย่างที่เราคิดวิตกไปเองเลย

2.     ไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีวี่แวว ไม่เป็นรูปเป็นร่างแม้แต่น้อย

ในระหว่างทางที่รอคอย ใจจดจ่อ ด้วยเงื่อนเวลา กำหนดเส้นตายที่จวนเจียนบีบรัดเข้ามาเรื่อยๆ แต่กลับยังคงว่างเปล่า ไม่มีวี่แวว ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวไปใกล้ทิศทางที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เลย … ความรู้สึกที่เคยสงบ ก็เริ่มยากขึ้น จากความสงบอันเกิดจากเชื่อมั่นในสิ่งที่ทรงตรัส เริ่มถูกสั่นคลอนกลายเป็นการเร่งเร้าพระเจ้าด้วยตัวของเราเอง และสรุปพระเจ้าด้วยการกล่าวโทษว่า “พระองค์ช้าเกินไป , ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย , สิ่งที่พระเจ้าตรัสไม่เห็นเป็นจริงเลย , …” ทั้งที่กำหนดเวลายังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ

*** เป็นสิ่งที่ควรระวังรักษาใจและความคิดของตนเองเป็นอย่างดี เพราะพระเจ้าไม่เคยผิด แม้สักครั้งเดียว ไม่เคยพลาดแม้สักเล็กน้อย … บางครั้งการตัดพ้อเหล่านั้น สะท้อนถึงการไม่ผ่านด้านความเชื่อ นอกจากรักษาระดับไม่ได้แล้ว ยังเป็นการถอยหลังอีกต่างหาก เหตุนี้เองทำให้พลาดสิ่งที่ควรได้ ทำให้ไม่เห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญา เพราะว่าไปไม่ถึงจุดที่พระเจ้าวางไว้ ***

การอดทนรอคอยเป็นการวัดระดับความวางใจที่เรามีต่อพระเจ้าด้วยว่ามากเพียงใด… อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงรับรองผู้ที่มีความเชื่อฉันใด จะไม่ทรงผิดสัญญาเพียงเพราะปัญหาที่เราเผชิญอยู่เป็นแน่… ดังนั้นจงตั้งไว้ให้มั่นว่า เชื่อจนถึงที่สุด

1 คร.13:13  ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ ความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด

มธ.24:13  แต่ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด

3.    ขาดความไว้วางใจ

ปกติแล้วความเชื่ออย่างสงบจะเกิดขึ้นจากการไว้วางใจพระเจ้า เหตุที่ขาดความวางใจจึงส่งผลให้กระวนกระวายใจ วิตกกังวลต่างๆนาๆ … ความวางใจเกิดจากการนิ่งและสงบในพระเจ้า ซึ่งเป็นผลมาจากการรู้จักพระลักษณะของพระเจ้า และแช่ตัวอยู่ในพระองค์จนกระทั่งเติมอิ่ม เมื่อขาดหรือพร่องไป ก็สามารถกลับเข้ามารับการเติมเต็มได้อีกเสมอๆ

 

 

เชื่อจนสุดปลายทาง

 

1.    อย่าลืมว่าฤทธานุภาพของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่แบบไร้ขอบเขต แค่ทรงตรัสและหยิบยื่น แค่เสี้ยวนาทีทุกสิ่งก็สามารถเกิดขึ้นได้แล้ว ไม่มีสิ่งใดเหลือบ่ากว่าแรงของพระเจ้าเลยแม้สักน้อย เพียงแต่เวลาใดที่พระเจ้าจะยื่นพระหัตถ์ออกเพื่อเราต่างหาก ดังนั้นการรอคอยและอดทน รักษาความเชื่อไว้จึงเป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้ต่อพระเจ้าผู้ทรงใหญ่ยิ่ง

ปฐก.1:1-31 พระเจ้าทรงสร้างโลกทั้งใบด้วยคำตรัส แค่ตรัสทุกสิ่งก็บังเกิดขึ้น
1:1 ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
1:2 และแผ่นดินโลกนั้นก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่ และความมืดอยู่เหนือผิวของน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าเคลื่อนไหวอยู่เหนือผิวของน้ำนั้น

1:3 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้มีความสว่าง” และความสว่างก็เกิดขึ้น
1:4 และพระเจ้าทรงเห็นความสว่างนั้นว่า ความสว่างนั้นดี และพระเจ้าทรงแยกความสว่างนั้นออกจากความมืด
1:5 และพระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่าวัน และพระองค์ทรงเรียกความมืดนั้นว่าคืน และมีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันแรก
1:6 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้มีพื้นฟ้าในระหว่างน้ำ และจงให้พื้นฟ้านั้นแยกน้ำออกจากน้ำ”
1:7 และพระเจ้าทรงสร้างพื้นฟ้า และทรงแยกน้ำซึ่งอยู่ใต้พื้นฟ้าจากน้ำซึ่งอยู่เหนือพื้นฟ้า และก็เป็นดังนั้น
1:8 และพระเจ้าทรงเรียกพื้นฟ้าว่าฟ้าสวรรค์ และมีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สอง
1:9 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์รวบรวมเข้าอยู่แห่งเดียวกัน และจงให้พื้นดินแห้งปรากฏขึ้น” และก็เป็นดังนั้น
1:10 และพระเจ้าทรงเรียกพื้นดินแห้งว่าแผ่นดิน และที่น้ำรวบรวมเข้าอยู่แห่งเดียวกันว่าทะเล และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:11 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้แผ่นดินเกิดต้นหญ้า ต้นผักที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมันบนแผ่นดิน” และก็เป็นดังนั้น
1:12 และแผ่นดินก็เกิดต้นหญ้า และต้นผักที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน และต้นไม้ที่ออกผลที่มีเมล็ดในผลตามชนิดของมัน และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:13 และมีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สาม
1:14 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้มีดวงสว่างต่าง ๆ ในพื้นฟ้าแห่งฟ้าสวรรค์เพื่อแยกวันออกจากคืน และเพื่อใช้เป็นหมายสำคัญ และที่กำหนดฤดู และวันและปีต่าง ๆ
1:15 และจงให้เป็นดวงสว่างต่าง ๆ ในพื้นฟ้าแห่งฟ้าสวรรค์เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดินโลก” และก็เป็นดังนั้น
1:16 และพระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างใหญ่สองดวง ให้ดวงสว่างที่ใหญ่กว่านั้นครองกลางวัน และให้ดวงสว่างที่เล็กกว่าครองกลางคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน
1:17 และพระเจ้าทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้ในพื้นฟ้าแห่งฟ้าสวรรค์เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดินโลก
1:18 และเพื่อปกครองกลางวันและปกครองกลางคืน และเพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:19 และมีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สี่
1:20 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้น้ำอุดมบริบูรณ์ไปด้วยสัตว์ที่มีชีวิตแหวกว่ายไปมา และให้มีนกบินไปมาในพื้นฟ้าแห่งฟ้าสวรรค์เหนือแผ่นดินโลก”
1:21 และพระเจ้าได้ทรงสร้างปลาวาฬใหญ่ และบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตแหวกว่ายไปมาตามชนิดของมัน ซึ่งเกิดขึ้นบริบูรณ์ในน้ำนั้น และบรรดาสัตว์ที่มีปีกตามชนิดของมัน และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:22 และพระเจ้าได้ทรงอวยพรสัตว์เหล่านั้นว่า “จงมีลูกดกและทวีมากขึ้น และจงให้น้ำในทะเลต่าง ๆ บริบูรณ์ไปด้วยสัตว์ และจงให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน”
1:23 และมีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ห้า
1:24 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้แผ่นดินโลกเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งาน และสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าแห่งแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน” และก็เป็นดังนั้น
1:25 และพระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ป่าแห่งแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน และสัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินโลกตามชนิดของมัน และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี
1:26 และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้พวกเราสร้างมนุษย์ในแบบพระฉายของพวกเรา เหมือนตามอย่างพวกเรา และให้พวกเขาครอบครองเหนือฝูงปลาในทะเล และเหนือฝูงนกในอากาศ และเหนือสัตว์ใช้งาน และให้เหนือทั่วทั้งแผ่นดินโลก และเหนือบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลก”
1:27 ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ในแบบพระฉายของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นในแบบพระฉายของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง
1:28 และพระเจ้าได้ทรงอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสแก่พวกเขาว่า “จงมีลูกดกและทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก และจงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองเหนือฝูงปลาในทะเล และเหนือฝูงนกในอากาศ และเหนือบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก”
1:29 และพระเจ้าตรัสว่า “ดูเถิด เราให้บรรดาต้นผักที่มีเมล็ดซึ่งอยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก และบรรดาต้นไม้ซึ่งมีเมล็ดในผลแห่งต้นไม้นั้นแก่พวกเจ้า จะเป็นอาหารสำหรับพวกเจ้า
1:30 และสำหรับบรรดาสัตว์ป่าแห่งแผ่นดินโลก และบรรดานกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลก เราให้บรรดาพืชผักเขียวสดเป็นอาหาร” และก็เป็นดังนั้น
1:31 และพระเจ้าทอดพระเนตรบรรดาสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง และดูเถิด เป็นสิ่งที่ดียิ่งนัก และมีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หก

ยน.1:3  พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์

2.    การฝึกฝนความเชื่อเป็นสิ่งที่พระเยซูทรงใส่พระทัยอย่างมาก ดังคำตรัส “เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย , คนในยุคนี้ช่างขาดความเชื่อ…”

3.    เมื่อถึงปลายทางเราจะพบและเห็นว่าสิ่งที่ทรงตรัสและสัญญาเป็นจริงทุกประการ และสิ่งล้ำค่ากว่านั้นคือ ความหวานชื่นที่มากเกินกว่าที่เราคาดหวังไว้อีกด้วยซ้ำ

*** คนจำนวนมากเริ่มต้น แต่คนจำนวนน้อยที่มาถึงปลายทา***
คนจำนวนมากที่เริ่มต้นก็ยังดีกว่า คนจำนวนมากมายมหาศาลที่ไม่คิด แม้แต่จะเริ่มต้นหรือขยับตนเองออกสักก้าว เพราะอย่างน้อย แค่ได้เริ่ม … กระบวนการแห่งพระพรก็ได้เริ่มขึ้นแล้วเช่นกัน แม้จะไปไม่ถึงปลายทาง แต่ก็ยังได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้นเท่าที่เราเดินไปถึง

รม.1:17  เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้นความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้แสดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’

และเมื่อสุดปลายทางเรื่องนี้แล้ว เรื่องหน้าก็รอเราอยู่ … จนกว่าจะถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ นี่แหละ วิถีของผู้ที่มีความเชื่อ

สู้ต่อไป … ด้วยกำลังจากพระคริสต์ ♥ ♥ ♥


18/10/2014

0Shares