คนเราต่างต้องเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ
หากเป็นเพียงอย่างเดียว ชีวิตจะแสนเหน็ดเหนื่อยใจแทบขาด
ผู้รับต้องคอยวิ่งตามผู้ให้ …
ผู้ให้ต้องยอมทนในส่วนตัวเพื่อหยิบยื่น…
แต่ หากทั้งรับและให้ ก็จะสามารถผ่อนคลายทั้ง 2 ส่วน คือ การวิ่งตามและการทนยอม … ใครก็ให้ได้ ใครก็รับได้ ไม่ขึ้นกับ อายุ > เด็กหรือผู้ใหญ่ , ตำแหน่ง > เล็กน้อยหรือใหญ่โต , หรือ สิ่งใดๆ เลย
ภาพ : แม่ลูก
แม่ >> ให้ความรัก ให้การเลี้ยงดู หาเงิน ทุ่มเทความเหน็ดเหนื่อย อบรมสั่งสอน
ลูก >> ให้ความน่ารัก เติมใจแม่ให้เต็ม ให้กำลัง สนับสนุน อยู่เคียงข้างแม่
ทั้ง 2 ต่างทั้งให้แก่กันและกัน รับจากกันและกันในเวลาเดียวกัน
แต่หากใครคิดเพียงด้านเดียว ย่อมบั่นทอนในที่สุด ด้วยหมดแรง…
หลายครั้งคนเรามักคิดว่า ให้คนๆ นี้ แต่ไปรับจากอีกคนหนึ่ง… แท้จริงมีอีกมุมหนึ่งซึ่งเป็นจริง คือ ในคนๆเดียวกัน ในสถานการณ์เดียวกัน ในสิ่งๆ เดียวกัน เราสามารถทั้งให้และได้รับในคราวเดียวกัน พร้อมๆ กัน
ทั้งให้และรับในคนๆ เดียวกัน
ตัวอย่าง เช่น เราอดทนต่อความยากลำบาก เพื่อสิ่งหนึ่งในชีวิต เรากำลังให้ กำลังหยิบยื่นออกไป แต่ในขณะเดียวกัน เราก็กำลังรับบทเรียน รับความเข้าใจใหม่ อีกส่วนหนึ่งจากสถานการณ์นี้เช่นกัน
เรากำลังสร้างคนๆ หนึ่ง ในขณะที่คนๆ นี้ก็สร้างเราเช่นกัน
หากเป็นเช่นนี้แล้ว จะไม่มีการทวงบุญคุณกัน แต่จะเห็นการควบคุมของพระเจ้าอย่างเป็นวงจร เป็นวัฏจักร และเป็นระบบระเบียบ
แต่หากมองว่า เราให้กับคนๆ นี้ แต่ไปรับจากอีกคนหนึ่ง … หากมองเพียงแบบนี้ … นั่นหมายความว่า เรายังไม่สามารถได้รับประโยชน์ หรือ ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตเราได้อย่างเต็มที่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่า “สิ้นเปลืองทรัพยากรที่พระเจ้ามอบให้ “ ไม่มีใครในโลกเกิดมาเพียงแค่ด้านเดียว เพราะพระเจ้าทรงสร้างมาอย่างดียิ่งนัก
ในขณะที่คนๆ หนึ่งให้เงินขอทาน ที่ดูเหมือน เขาไร้ซึ่งประโยชน์โดยสิ้นเชิงต่อตนเอง แต่ในทางกลับกัน เขากลับได้รับความอิ่มใจจากการให้ออกไปนั้นกลับมา… แล้วอย่างนี้จะเรียกว่า เกิดมาเพื่อให้หรือรับอย่างเดียวได้หรือ?
ในขณะที่มนุษย์เลี้ยงสัตว์ ที่ไม่สามารถตอบแทนอะไรกลับมาได้ แต่สัตว์นั้นก็ให้ความเพลิดเพลิน ความน่ารัก และบรรเทาอาการเหงา กลับมาไม่ใช่หรือ? บางคนอาจเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งาน หรือ กิน นั่นก็คือ การได้รับกลับมาไม่ใช่หรือ?
แล้วอย่างนี้… ทำไม? เราจึงไม่คิดและตระหนักว่าเราได้ให้อะไรใครไป พร้อมๆ กับเราได้รับอะไรกลับมา…
*** หากทัศนคติเป็นเช่นนี้ ชีวิตจะถูกเติมเต็มความสุขได้ในตัวมันเอง แทนที่การเรียกร้องที่คิดว่าไร้ซึ่งคนมองเห็น !!!***
*** เพราะไม่มีใครไร้ศักยภาพในการเป็นผู้ให้ เพราะไม่มีใครแข็งแกร่งจนไม่ต้องการเป็นผู้รับ >> ตัวเราเองจึงเป็นได้ทั้งผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน ***
เมื่อเป็นดังนี้…
♣ อาการเรียกร้องความสนใจ เพราะคิดว่าตนไร้ค่าจะหมดไป
♣ อาการไม่มั่นคงว่าสิ่งที่ตนทำนั้นไร้ค่าจะหมดไป
♣ อาการรอคอยผู้คนมาเติมเต็มจะหมดไป
♣ ♣ ♣ เพราะต่างได้รับและให้ซึ่งกันและกัน อย่างบริบูรณ์แล้ว ต่างขอบคุณซึ่งกันและกัน แทนการทวงคุณความดี และความสุขถูกเติมเต็มในกันและกันเป็นอย่างดี ในเมื่อพระเจ้าสร้างเรามาอย่างดียิ่งนัก… เหตุใดจึงคิดนอกกรอบการทรงสร้างเล่า ???
19/08/2014