เสาเมฆและเสาเพลิง

By | 2016/11/15

พระเจ้าทรงนำอิสราเอลประชากรของพระองค์ด้วยเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืน ในถิ่นทุรกันดารที่เริ่มต้นออกจากอียิปต์มุ่งสู่แผ่นดินคานาอัน เมื่อมีการนำของพระเจ้าอิสราเอล รื้อถอน เต้นท์ที่พักของตนเอง เพื่อเคลื่อนไปตามการทรงนำของพระเจ้าในทันที แต่เมื่อไม่มีการทรงนำของพระเจ้า พวกเขาพักและดื่มกินอยู่ในบริเวณนั้น โดยที่สายตาจับจ้องไปที่เสาเมฆและเสาเพลิงอยู่เสมอ เพื่อจะไม่พลาดจากการทรงนำของพระเจ้า

การทรงนำของพระเจ้าจะชัดเจนโดดเด่น เพื่อให้ประชากรของพระองค์เห็นอย่างชัดเจน เพื่อทำให้เห็นหนทางการตอบสนองพระเจ้าอย่างชัดเจน เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความชัดเจน ไม่ทรงคลุมเครือ … ดังนั้นการทรงนำของพระองค์ก็เช่นกัน จะทรงนำอย่างชัดเจน เพียงแต่คนของพระเจ้า ต้องจับจ้องและจดจ่อไปที่เสาเมฆและเสาเพลิงนั้น หมายถึงการทรงนำนั้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ไม่ว่าจะมืดหรือสว่าง พระองค์ทรงมีวิธีและหนทางในการทรงนำให้แก่เรา

อพยพ 13:21-22
21 พระยาห์เวห์เสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และในเวลากลางคืนด้วยเสาเพลิง ให้พวกเขามีแสงสว่างเพื่อจะเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
22 พระองค์ไม่ได้ทรงให้เสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนคลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย

 

เสาเมฆและเสาเพลิง

1.    อิสราเอลเคลื่อนย้ายตนเองอย่างทันที เมื่อมีการทรงนำของพระเจ้ามาถึง พวกเขาไม่อิดออด ไม่บิดเบือน ไม่ต่อรอง หรือไม่ยืดเวลาออกไป ลักษณะการสร้างเต้นท์เพื่ออยู่อาศัยของพวกเขา จึงต้องพร้อมเสมอสำหรับการเคลื่อนย้าย… การดำเนินชีวิต ของเราเองก็เช่นกัน ควรเตรียมพร้อมเสมอ เมื่อการทรงนำของพระเจ้ามาถึงเรา อย่างเจาะจง ควรพร้อมในการก้าวและเคลื่อนไปกับพระเจ้าอย่างทันท่วงที อย่าพยายามสร้างสิ่งใดที่สามารถถ่วงหรือหยุดตนเองเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองพระเจ้าอย่างทันที หรือต้องยืดเยื้อออกไป รวมไปถึงการผ่านเลยที่จะไม่ตอบสนองพระเจ้า

2.    เมื่อไม่มีการทรงนำของพระเจ้า อิสราเอลก็ใช้ชีวิตตามปกติ พักผ่อน จากความเมื่อยล้าที่ผ่านมา แต่จะไม่ไปไกลห่างจากบริเวณนั้นๆ เพื่อจะเห็น เสาเมฆและเสาเพลิงอย่างชัดเจน … ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนก็เช่นกัน ในเวลาปกติสุข ที่ไม่มีการทรงนำใดๆ จากพระเจ้า เราก็สามารถพักสงบ ได้อย่างเต็มที่ (ไม่ต้องรู้สึกผิด) หากไม่มีการเคลื่อนใด เราเองก็ไม่เคลื่อนตัวด้วยเช่นกัน เพราะการทำสิ่งใดๆ โดยปราศจากการทรงนำจากพระเจ้า นั่นหมายถึง ปราศจากการรับรองจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน

3.    ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่องผิดปกติใดๆ  หากจะมีวันเวลาและวาระแห่งการหยุดพัก เพียงแต่ท่ามกลางการพักเหล่านั้น สายตาของเราต้องจดจ้องไปที่พระเจ้าเสมอ เป็นการเตรียมตนเองให้พร้อมที่จะเคลื่อนตัวอีกครั้งทันทีที่มีการทรงนำจากพระเจ้า แต่การเคลื่อนตัวออกไปโดยปราศจากการทรงนำจากพระเจ้า หากหนทางข้างหน้าผิดก็ต้องย้อนกลับมา ณ จุดเริ่มต้น ตรงนี้ใหม่อีกครั้งเช่นกัน ดังนั้นเราควรหยุด อยู่กับที่ จนกว่าพระเจ้าจะทรงนำดีเสียกว่า เพื่อจะไม่เป็นการเหนื่อยเปล่า หรือเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ เสียเวลาโดยใช่เหตุ

4.    พระเจ้าไม่เคยช้าในการทรงนำ พระองค์ทรงรู้กาลเวลา อย่างครบถ้วน ทุกมิติ ด้วยพระลักษณะแห่งความสัพพัญญูของพระองค์เอง ดังนั้นจึงทรงรู้ว่า เมื่อใดควรมีการเคลื่อนตัว และเมื่อใดควรหยุดอยู่กับที่เพื่อพัก และสะสม สิ่งต่างๆ ทั้งพลังงาน กำลัง ความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ … เมื่อใด ที่ไม่มีการทรงนำให้เคลื่อนตัว นั่นหมายถึง เป็นการดี ที่จะหยุดอยู่ตรงนั้น และรอคอยอย่างจดจ่อสำหรับ การทรงนำของพระเจ้าที่จะมาถึง อีกทั้งเป็นการดี สำหรับการเตรียมตนเองให้พร้อม เพื่อจะก้าวใน step ต่อไป

5.    การอยู่ในวาระของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่เราควรเรียนรู้ เพื่อจะมีความสุขในแต่ละช่วงชีวิต ในทุกเวลา เพราะในแต่ละวาระ มีสิ่งที่ต้องสะสม เรียนรู้จากพระเจ้า เพื่อให้เติบโตขึ้นสู่ความไพบูลย์ อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ ในทุกๆ ด้านของชีวิตบนแผ่นดินโลกนี้

 

2016-11-11

0Shares