เรื่องของความเชื่อ

By | 2015/06/28

ฮบ.11:1-3

11:1 บัดนี้ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นหลักฐานมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง
11:2 โดยความเชื่อนี้เอง พวกบรรพบุรุษก็ได้รับการรับรอง
11:3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น

 

เรื่องของความเชื่อ

 

รูปแบบของความเชื่อ

 

1. เชื่อในทันทีทันใด

  • เป็นความมั่นใจในพระองค์ผู้ทรงตรัส แม้ยังไม่เห็น หรือแม้รู้ว่าปัญหาและอุปสรรคคือสิ่งใด ก็สามารถเชื่อได้อย่างง่ายๆ เพราะความเชื่อไม่ได้ขึ้นกับสภาวะการณ์หรือสิ่งที่มองเห็น แต่เชื่อในพระลักษณะแห่งความยิ่งใหญ่ ความสัตย์ซื่อ ความสัตย์จริง ของพระองค์ผู้ทรงทำสิ่งที่ไม่มีให้เกิดขึ้นได้ แต่ทำลายสิ่งที่มีให้หายไปได้เช่นกัน เป็นความมั่นใจในเอกสิทธิ์ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่
  • ยน.11:40  พระเยซูตรัสกับเธอว่า “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะได้เห็นสง่าราศีของพระเจ้า”
  • เชื่อแล้วจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
  • เป็นความเชื่อที่ไม่ผ่านหรือพึ่งกระบวนการทางทางสมอง แต่พึ่งกระบวนการทางใจ คือ ความไว้วางใจพระเจ้า

 

2. เชื่อแบบมีเงื่อนไข

  • เป็นความเชื่อที่มีเมล็ดพันธ์ภายใน แต่เจือปนไปด้วยความสงสัย และประเมินจากประสบการณ์ สภาวการณ์ที่เป็นอยู่ ทำให้มีเงื่อนไขในความเชื่อ เช่น ต้องเกิดเช่นนี้ขึ้นจึงจะเชื่อ ดั่งโธมัส ต้องเห็นแล้วจึงเชื่อ , ดั่งบาลาอัม ต้องรอให้ลาพูดได้ก่อนจึงจะเชื่อ
  • มธ.20:24-28 ดั่งโธมัส ต้องเห็นแล้วจึงเชื่อ

20:24 เมื่อสาวกสิบคนนั้นได้ยินแล้ว พวกเขาก็มีความขุ่นเคืองพี่น้องสองคนนั้น
20:25 พระเยซูทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ผู้ครอบครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ
20:26 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย
20:27 ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับใช้ของพวกท่าน
20:28 อย่างที่บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติ และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่สำหรับคนเป็นอันมาก”

  • กดว.22:21-35  ดั่งบาลาอัม ต้องรอให้ลาพูดได้ก่อนจึงจะเชื่อ

22:21 และรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้น และผูกอานลาของตน และไปกับประมุขทั้งหลายแห่งโมอับ
22:22 และพระเจ้าทรงพระพิโรธเพราะเขาไป และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ยืนอยู่กลางทางเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านเขา เวลานั้นเขาขี่ลาของตนและมีคนใช้ของเขาสองคนอยู่กับเขา
22:23 และลาตัวนั้นเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ยืนอยู่กลางทาง และท่านถือดาบอยู่ในมือของท่าน และลาก็เลี้ยวออกนอกทาง และเดินเข้าไปในทุ่งนา และบาลาอัมได้ตีลาเพื่อให้มันกลับไปทางเดิม
22:24 แต่ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์มายืนอยู่ในทางแคบระหว่างสวนองุ่น มีกำแพงอยู่ข้างนี้และข้างนั้น
22:25 และเมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ มันก็เบียดดันไปติดกำแพง และกระแทกเท้าของบาลาอัมเข้ากับกำแพง และเขาก็ตีมันอีก
22:26 และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ก็เดินไปข้างหน้า และยืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวามือหรือข้างซ้ายมือ
22:27 และเมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ มันก็หมอบลงขณะที่บาลาอัมยังนั่งอยู่บนหลัง และบาลาอัมก็โกรธ และเขาเอาไม้เท้าตีลา
22:28 และพระเยโฮวาห์ทรงเปิดปากของลา และมันได้พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงได้ตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง”
22:29 และบาลาอัมพูดกับลาว่า “เพราะเจ้าได้แกล้งเรา เราอยากจะมีดาบอยู่ในมือของเรา เพื่อเราจะได้ฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้”
22:30 และลาก็พูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่าน ที่ท่านเคยขี่อยู่ทุกวันตลอดชีวิตจนบัดนี้ดอกหรือ ข้าพเจ้าได้เคยกระทำเช่นนี้แก่ท่านหรือ” และเขาพูดว่า “ไม่เคย”
22:31 ดังนั้น พระเยโฮวาห์ทรงเปิดตาของบาลาอัม และเขาได้เห็นทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ยืนอยู่กลางทาง และดาบอยู่ในมือของท่าน และเขาก็ก้มศีรษะของตน และซบหน้าลงถึงดิน
22:32 และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์พูดกับเขาว่า “เหตุไฉนเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง ดูเถิด เรามาห้ามเจ้า เพราะการกระทำของเจ้าดื้อรั้นต่อหน้าเรา
22:33 และลาได้เห็นเราและหลีกไปต่อหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันไม่ได้หลีกไปจากเรา เราจะได้ฆ่าเจ้าเสียด้วยอย่างแน่นอน และรักษาชีวิตของลาให้รอด”
22:34 และบาลาอัมพูดกับทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนอยู่กลางทางขัดขวางข้าพเจ้า ฉะนั้น บัดนี้ถ้าท่านไม่พอใจกับการกระทำนี้ ข้าพเจ้าจะกลับไปเสีย”
22:35 และทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์พูดกับบาลาอัมว่า “จงไปกับชายเหล่านั้นเถิด แต่เจ้าจงพูดเฉพาะคำที่เรากล่าวแก่เจ้า” ดังนั้นบาลาอัมก็ไปกับประมุขทั้งหลายของบาลาค

 

  • เป็นความเชื่ออยู่ลึกๆ ภายในใจ แต่ขาดความกล้าหาญที่จะก้าว และขาดความไว้วางใจพระเจ้า อันเนื่องจากระดับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า แต่แม้บางคนใกล้ชิดพระเจ้าและมีประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ แต่ก็มีบางเวลาที่เป็นดังนั้น เฉกเช่นเดียวกับ โธมัส และสาวกที่ใกล้ชิดพระเยซูนั่นแหละ ด้วยสภาวการณ์ที่พระเยซูถูกจับและตรึงบนกางเขน , สภาวะการณ์ทางการเมืองที่บีบคั้น , สภาวะเสียงข้างมากที่บีบรัด … ทำให้เหล่าสาวกกระจัดกระจายหนีเอาตัวรอดและปฏิเสธว่ารู้จักพระเยซู ความเชื่อได้สั่นคลอนถึงความมั่นใจในพระสัญญาหรือคำพยากรณ์ที่ตรัสแล้วทางพระเยซูว่า “จะทรงฟื้นขึ้นในวันที่ 3” พวกเขาหมดหวังและสิ้นหวังโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งได้เห็นกับตาเขาจึงเชื่อ

 

  • มธ.26:69-75

26:69 ขณะนั้นเปโตรนั่งอยู่ภายนอกบริเวณคฤหาสน์นั้น มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “เจ้าได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย”
26:70 แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง”
26:71 เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ระเบียง สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า “คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย”
26:72 เปโตรจึงปฏิเสธอีก ด้วยคำสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น”
26:73 อีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ นั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าก็ส่อตัวเจ้าเอง”
26:74 แล้วเปโตรก็เริ่มสบถและสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น” ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน
26:75 เปโตรจึงระลึกถึงคำของพระเยซูที่ตรัสแก่เขาว่า “ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้อย่างขมขื่นยิ่งนัก

3. ไม่มีความเชื่อเลย

  • ต่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างชัดแจ้ง ปรากฏชัด ก็หาทางปฏิเสธ เพราะใจดื้อดึงและไม่เชื่อ ดั่งเช่น ฟาริสี ฟาโรห์
  • เป็นการปักใจในความคิดของตน หยิ่งผยองด้วยความสามารถ ความรอบรู้ และทัศนคติของตนเองเป็นใหญ่ และเป็นคำตอบสุดท้าย
  • แม้ฟาโรห์เห็นภัยพิบัติต่อหน้าต่อตา แต่ใจที่ดื้อดึงทำให้เขาหาหนทางปฏิเสธพระเจ้าอย่างไร้เหตุผล
  • แม้ฟาริสีมีความรอบรู้ในเรื่องบัญญัติและการพยากรณ์ของบรรพบุรุษที่กล่าวถึงพระเมสิยาห์ แต่ด้วยเกียรติยศที่สร้างขึ้น กฏเกณฑ์และระบอบที่สร้างไว้อย่างหนาแน่ ทำให้เขาเชื่อในพระเยซูไม่ได้เลย

 


2015-06-28

 

 

0Shares