*** “เมื่อพระเจ้าเรียกต้องตอบสนองทันที
ต่างจากการได้รับนิมิตเพื่ออนาคต” ***
การเรียกร้อง มักเกิดขึ้น แบบทันทีทันใด ให้ตอบสนองทันที ไม่มีเงื่อนไขเรื่องการรอเวลา
ตัวอย่าง เมื่อพระเยซูเรียกสาวก นั่นหมายถึง การปรารถนาให้ตามทันที … ไม่ใช่รอก่อน เดี๋ยวก่อน พระองค์ไม่ได้ยืนรอ หรือบอกว่าไว้เจอกันนะ ไม่ได้ทรงบอกว่าจัดการเรื่องตัวเองเสร็จแล้วค่อยตามมานะ
มธ.8:21-22
8:21 อีกคนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน”
8:22 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด”
ลก.9:59-62
9:59 พระองค์ตรัสแก่อีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่คนนั้นทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน”
9:60 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด แต่ส่วนท่านจงไปประกาศอาณาจักรของพระเจ้า”
9:61 อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาคนที่อยู่ในบ้านของข้าพระองค์ก่อน”
9:62 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้วหันหน้ากลับเสีย ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับอาณาจักรของพระเจ้า”
พระเยซูเรียกสาวกให้ติดตามพระองค์ เพราะนั่นคือ เวลาของพวกเขาแล้ว เวลาของพวกเขาได้มาถึงแล้ว หรือเรียกอีกอย่างว่า แผ่นดินของพระเจ้าได้มาตั้งอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว… แต่พวกเขาขอไปลาพ่อก่อน จึงค่อยติดตามพระองค์ แต่คำตอบของพระเยซู คือ … เมื่อทรงเรียก อย่ารีรอ อย่าช้าอยู่ จงตอบสนองในทันที เพราะพระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่า ณ เวลานั้น เราตอบสนองได้ พระองค์ทรงรู้ว่าอะไรที่รออยู่เบื้องหน้าเราบ้าง อะไรบ้างที่เกี่ยวพันกับชีวิตของเราในแต่ละขณะ รวมถึงขณะนี้ด้วย!!! …. แต่หากยังทรงเรียกให้ติดตาม นั่นอาจหมายถึง การที่เราต้องยอมสละสิ่งเหล่านั้น , วางสิ่งเหล่านั้นลง และเดินติดตามพระองค์ไปในทันที หากว่าสิ่งนั้นมีความจำเป็นที่ต้องมีเรา ณ เวลานั้น มีหรือ? ที่พระองค์จะไม่ทรงรู้… แต่เพราะทรงรู้แม้ในสิ่งที่เราเองไม่รู้ ไม่คาดคิด แต่มันเป็นแผนการณ์ของพระเจ้า พระองค์จึงเรียกเราในวินาทีนั้น เวลานั้น ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือ ตอบสนองในทันที
เป็นแน่นอนว่าสาวก มีความคิดและมีใจปรารถนาจะติดตามพระเยซูนั่นแหละ เพียงแต่เขามีกังวลตามธรรมดาโลกอยู่ด้วยเช่นกัน …
? พ่อแม่หละ?
? การทำกินหละ?
? หรืออะไรอีกมากมายที่จำเป็นตามพื้นฐานปัจจัยชีวิตมนุษย์พึงมี พึงกระทำอีกหละ?
… แต่การที่พระเยซูทรงเอ่ยเช่นนั้น (มธ.8:22) (ลก.9:60) นั่นหมายถึง = พระองค์จะรับรองในส่วนนั้น (ที่ยังอยู่ในความกังวล) ให้เราเอง หน้าที่ ณ ตอนนี้คือ … ก้าวตามในทันที สละสิ่งเหล่านั้น ด้วยความเชื่อ วางใจว่า พระหัตถ์ของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และทรงคุณกว่ามือของเราเอง และก้าวตามพระองค์ไปติดๆ
การรับนิมิตและการสำแดง มักจะเป็นการบอกล่วงหน้า จึงมีเงื่อนไขระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง
สิ่งใดที่มีระยะเวลาเบื้องหน้า จะทรงบอกเราด้วย เพื่อระหว่างเวลาเหล่านั้น เราจะสามารถ
♥ เตรียมตัว เตรียมชีวิต
♥ จดจ้องอยู่ในเวลาที่จะมาถึง เหมือนการรู้ว่า เวลาที่มาถึงจะเป็นเช่นไร จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเป็นดั่งหมายสำคัญ
ตัวอย่าง พระเยซูสอนให้สังเกตฟ้า
มธ.16:2-3
16:2 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “พอตกเย็นท่านทั้งหลายพูดว่า ‘รุ่งขึ้นอากาศจะโปร่งดีเพราะฟ้าสีแดง’
16:3 ใน เวลาเช้าท่านพูดว่า ‘วันนี้จะเกิดพายุฝนเพราะฟ้าแดงและมัว’ โอ คนหน้าซื่อใจคด ท้องฟ้านั้นท่านทั้งหลายยังอาจสังเกตรู้และเข้าใจได้ แต่หมายสำคัญแห่งกาลนี้ท่านกลับไม่เข้าใจ
ลก.12:54-56
12:54 และพระองค์ตรัสกับประชาชนอีกว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเมฆเกิดขึ้นในทิศตะวันตก ท่านก็กล่าวทันทีว่า ‘ฝนจะตก’ และก็เป็นอย่างนั้นจริง
12:55 เมื่อท่านเห็นลมพัดมาแต่ทิศใต้ ท่านก็ว่า ‘จะร้อนจัด’ และก็เป็นจริง
12:56 เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าทั้งหลายรู้จักวิจัยความเป็นไปของแผ่นดินและท้องฟ้า แต่เหตุไฉนพวกเจ้าวิจัยความเป็นไปของยุคนี้ไม่ได้
เมื่อพระเจ้าเรียกร้อง จงตอบสนองทันที
1. พระเจ้ามีวาระสำหรับเราอย่างเจาะจงและพอเหมาะ
การรู้วาระของพระเจ้าในชีวิตของเราทำให้ ไม่พลาดในการรับสิ่งที่พระเจ้าเทลงมา ดังคำกล่าว “อยู่ถูกที่ ถูกเวลา”
ภาพ : เมื่อฝนตก หากเอาภาชนะไปรองตรงกับน้ำฝนที่เทลงมา มากเท่าไร ก็ได้รับมากเท่านั้น
2. อย่ามัวชักช้า รีรอ ด้วยสิ่งที่ยื้อยุดเรา จากการตอบสนองพระเจ้า เพราะมันอาจช้าเกินไป
♥ ไม่เกิดผลเต็มร้อยตามที่ทรงตรัส เนื่องจากความคลาดเคลื่อนของเงื่อนไขต่างๆ อันได้แก่ เวลา , ชีวิต , พระพร
♥ ไม่เกิดผลอันใดเลย เนื่องจากหมดเวลาแล้ว … บางสิ่งจะมีขอบเขตระยะเวลาอย่างเจาะจง หากพลาดเราเองจะสูญเสียพระพรนั้น และพระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้แผนการณ์ของพระองค์ล้มเหลวเพียงแค่เราไม่ตอบสนอง ดังนั้นอย่าปล่อยให้ผู้อื่นได้รับแทนเรา อันเนื่องจากการเมินเฉย เพิกเฉย การละทิ้ง การไม่กล้าตอบสนอง การละล้าละลัง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก … ทั้งที่พระพรนั้นมันควรเป็นของเรา (หมายถึง แท้จริงพระเจ้าเลือกเรา แต่เพราะการไม่ตอบสนองของเรา พระเจ้าจึงเลือกคนอื่นแทน) และหากพลาดจริงจงให้เกียรติผู้ที่พระเจ้าเลือกแทน เพื่อตนเองจะกลับใจใหม่ อย่าถลำลึกด้วยการต่อต้านเขา เพราะการเจิมของพระเจ้าก็อยู่กับเขาแล้ว อีกทั้งหากเรากลับใจใหม่จริง การเรียนรู้จะทำให้ครั้งต่อไป เราไม่พลาดอย่างแน่นอน และพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งการให้โอกาสแก่เราเสมอ เพียงรอวาระถัดไปมาถึงเป็นพอ
3. เราควรเรียนรู้ที่จะไว้วางใจพระเจ้า เพราะมันเป็นพื้นฐานการเชื่อฟัง … เมื่อพระเจ้าทรงนำ การรับรองมักมาหลังจากเราก้าวเสมอ
ตัวอย่าง เปโตรก้าวลงจากเรือ การรับรองคือ ไม่จม สามารถเดินบนทะเลได้
มธ.14:28-29
14:28 ฝ่ายเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้ว ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์”
14:29 พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เมื่อเปโตรลงจากเรือแล้ว เขาก็เดินบนน้ำไปหาพระเยซู
21/08/2014 11:43