อย่าพลาดเพราะกลัวศัตรู

By | 2014/12/15

ผวฉ.2:1-5
2:1 ฝ่ายทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์ได้ขึ้นไปจากกิลกาลถึงโบคิมและกล่าวว่า “เราได้ให้เจ้าทั้งหลายขึ้นไปจากอียิปต์และได้นำเจ้าเข้ามาในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้แก่บรรพบุรุษของเจ้าและเรากล่าวว่า ‘เราจะไม่หักพันธสัญญาที่เราได้มีไว้กับเจ้าเลย
2:2 และเจ้าทั้งหลายอย่าทำพันธสัญญากับชาวแผ่นดินนี้เจ้าต้องทำลายแท่นบูชาของเขาเสีย’ แต่เจ้ามิได้เชื่อฟังเสียงของเราเจ้าทำอะไรเช่นนี้เล่า
2:3 ฉะนั้นเรากล่าวด้วยว่า ‘เราจะไม่ขับไล่เขาเหล่านั้นออกไปให้พ้นหน้าเจ้าแต่เขาจะเป็นเช่นหนามอยู่ที่สีข้างของเจ้า และพระของเขาจะเป็นบ่วงดักเจ้า’”
2:4 อยู่มาเมื่อทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์กล่าวคำเหล่านี้แก่บรรดาคนอิสราเอลแล้วประชาชนก็ส่งเสียงร้องไห้
2:5 และเขาเรียกที่ตำบลนั้นว่า โบคิม และเขาทั้งหลายได้ถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์ที่นั่น

แท้จริงพระเจ้าตั้งพันธสัญญากับชนอิสราเอล โดยการยกดินแดนคานาอันทั้งหมดให้กับเขา

ปฐก.17:8 และเราจะให้แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่เป็นคนต่างด้าวนี้คือบรรดาแผ่นดินคานาอันแก่เจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้าให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา”

แต่เนื่องจากอิสราเอลไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจ ไม่ได้ใช้วิธีการที่พระเจ้าตรัสสั่งอย่างเข้มงวด พวกเขาคิดเอาเองว่า … “นี่ก็เพียงพอแล้ว”

การเชื่อฟังพระเจ้าในบางส่วนผสมผสานกับกระบวนการหรือขนบธรรมเนียมปฏิบัติทั่วๆ ไปทำให้ไม่มีผลอะไร  ไม่เกิดสิ่งใดขึ้นตามี่พระเจ้าตรัสไว้แต่แรกเลย

ผวฉ.1:24-36
1:24 และผู้สอดแนมเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากเมือง จึงพูดกับเขาว่า “ขอชี้ทางเข้าเมืองนี้ให้แก่เรา และเราจะปรานีเจ้า”
1:25 ชายคนนั้นก็ชี้ทางเข้าเมืองให้และเขาประหารเมืองนั้น ทำลายเสียด้วยคมดาบ แต่เขาปล่อยให้ชายคนนั้นและครอบครัวทั้งสิ้นของเขารอดไป
1:27 มนัสเสห์มิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชานและชาวชนบทของเมืองนั้นให้ออกไปหรือชาวเมืองทาอานาคกับชาวชนบทของเมืองนั้นหรือชาวเมืองโดร์กับชาวชนบทของเมืองนั้นหรือชาวเมืองอิบเลอัมกับชาวชนบทของเมืองนั้นหรือชาวเมืองเมกิดโดกับชาวชนบทของเมืองนั้นแต่คนคานาอันยังขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
1:28 อยู่มาเมื่อคนอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งขึ้นก็บังคับคนคานาอันให้ทำงานโยธา แต่มิได้ขับไล่ให้เขาออกไปเสียอย่างสิ้นเชิง
1:29 และเอฟราอิมมิได้ขับไล่คนคานาอันผู้อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ให้ออกไป แต่คนคานาอันยังอาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ท่ามกลางเขา
1:30 เศบูลุนมิได้ขับไล่ชาวเมืองคิทโรน หรือชาวเมืองนาหะโลล แต่คนคานาอันได้อาศัยอยู่ท่ามกลางเขาและถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
1:31 อาเชอร์มิได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค หรือชาวเมืองไซดอน หรือชาวเมืองอัคลาบหรือชาวเมืองอัคซีบ หรือชาวเมืองเฮลบาห์ หรือชาวเมืองอาฟิกหรือชาวเมืองเรโหบ
1:32 แต่คนอาเชอร์ได้อาศัยอยู่ท่ามกลางคนคานาอันชาวแผ่นดินนั้น เพราะว่าเขาทั้งหลายมิได้ขับไล่ให้ออกไปเสีย
1:33 นัฟทาลีมิได้ขับไล่ชาวเมืองเบธเชเมช หรือชาวเมืองเบธานาทแต่อาศัยอยู่ในหมู่คนคานาอันชาวแผ่นดินนั้น แต่อย่างไรก็ดีชาวเมืองเบธเชเมชและชาวเมืองเบธานาทก็ถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
1:34 คนอาโมไรต์ได้ขับดันคนดานให้กลับเข้าไปในแดนเทือกเขา ไม่ยอมให้ลงมายังหุบเขา
1:35 คนอาโมไรต์ยังขืนอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรสในเมืองอัยยาโลนและในเมืองชาอัลบิม แต่มือของวงศ์วานโยเซฟเหนือกว่ามือเขาทั้งหลายเขาจึงถูกเกณฑ์ให้ทำงานโยธา
1:36 อาณาเขตของคนอาโมไรต์ตั้งต้นแต่ทางข้ามเขาอัครับบิมตั้งแต่ศิลาเรื่อยขึ้นไป
แทนการขับไล่พวกเขากลับผ่อนปรน หวังเพียงจะใช้แรงงานคนเหล่านั้น จนในที่สุดผลร้ายได้บังเกิดขึ้น ทั้งที่พระเจ้าอยู่ฝ่ายอิสราเอล ทำให้พวกคนคานาอันทั้งหมดแตกพ่ายไป แต่ด้วยสายตาที่คิดว่าอาวุธของพวกเขาล้ำสมัยกว่า ดูแข็งแกร่งกว่า การเห็นแก่สิ่งเหล่านั้นทำให้พวกเขาละเลยการทำตามคำสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งครัด

แต่แท้จริงพวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ เมื่อการเชื่อฟังเป็นเพียงบางส่วน ความไม่เพียว ทำให้พรากพระพรอันใหญ่หลวงไปจากพวกเขา

(ข้อ 2)… อิสราเอลไม่เพียงละเลยและหละหลวมในการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจเท่านั้น แต่เขายังทำตรงข้ามจากสิ่งที่พระเจ้าตรัสเสียด้วยซ้ำ พระเจ้าตรัสว่า “อย่าทำพันธสัญญาใดๆกับชาวดินแดนนี้” แต่พวกเขาก็สาบานโน่นนี่กับชาวดินแดนนี้…
พระเจ้าตรัสว่า “ให้ทำลายทุกสิ่งในดินแดนนี้” แต่พวกเขาก็เก็บความล้ำหน้าของดินแดนนี้ไว้ เก็บคนบางคน ของบางอย่างที่เอื้อต่อประโยชน์ของเขาไว้…  ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละ … เป็นผลผูกมัดพวกเขาเอง ทำให้ไม่สามารถตอบสนองพระเจ้าได้ในเรื่องอื่นๆ ด้วย เพราะการทำสัญญากับชาวดินแดนนี้ว่าจะไว้ชีวิตหากชี้ทางรบให้ (แม้ไม่ต้องมีการชี้ทางรบจากมนุษย์พระเจ้าก็เจิมและอยู่ฝ่ายเขาอยู่ดี จะทรงเปิดช่องทางให้เอง) ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องขัดคำสั่งของพระเจ้าที่ชัดเจน และรู้เต็มอกอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเริ่มรบ รู้อยู่แล้วอย่างสืบเนื่องกันมารุ่นต่อรุ่น แต่พวกเขากลับกล้าขัดคำสั่งพระเจ้าเพราะเกรงกลัวต่อสิ่งที่พระเจ้าใส่ชัยชนะไว้ในมือเสียด้วยซ้ำ ศัตรูพ่ายแพ้เพียงแค่พวกเขาก้าวออกมา แต่เขากลับพ่ายแพ้ศัตรูเพราะความกลัว

(ข้อ 3)… แทนที่จะได้ครอบครองดินแดนนี้อย่างครบถ้วนทุกกระเบียดนิ้ว นอกเสียจากเขาได้ไม่ครบแล้ว ศัตรูที่พระเจ้ามอบให้กับพวกเขาจะกลับกลายเป็นหอกข้างแคร่จวบจนถึงทุกวันนี้

***ไม่ใช่พระเจ้าไม่เป็นจริง ไม่ใช่พระเจ้ากลับคำ แต่เพราะอิสราเอลไม่เชื่อฟังพระเจ้าต่างหาก***

 

 

อย่าพลาดเพราะกลัวศัตรู

1.    แท้จริงเมื่อพระเจ้าตรัสสั่งสิ่งใดกับเรา เราจำเป็นต้องเชื่อฟังอย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอนและกระบวนการ เนื่องจากพระเจ้าทรงรู้ดีในทุกสิ่ง ทุกฝ่าย รอบด้าน การที่เราละเลยแม้เพียงเล็กน้อย หรือด้านใดด้านหนึ่งย่อมส่งผลร้ายที่เราเองคาดไม่ถึง แต่พระเจ้าทรงรู้ดี … อีกทั้งยังส่งผลทำให้พระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อเราไม่สมบูรณ์ พระเจ้าทรงตั้งสิ่งดีที่สุดให้กับเราแต่ละคนและยังมอบสิ่งนั้นให้ในมือเรา ด้วยการทำพันธสัญญา เมื่อก้าวตามเงื่อนไขของพระเจ้า พระสัญญาทั้งสิ้นย่อมบังเกิดอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เป็นแน่

ลนต.26:42-44
26:42 เราจึงจะระลึกถึงพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่อยาโคบและพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่ออิสอัค และพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่ออับราฮัมและเราจะระลึกถึงแผ่นดินนั้น
26:43 แต่แผ่นดินจะต้องถูกละไว้จากเขาและจะได้ชื่นชมกับสะบาโตเหล่านั้นของมันขณะที่มันยังว่างเปล่าอยู่โดยไม่มีพวกเขาทั้งหลายเขาทั้งหลายจะยอมรับการลงโทษในความชั่วช้าของเขาเพราะเขาได้รังเกียจคำตัดสินของเราและเพราะจิตใจของเขาเกลียดชังกฎเกณฑ์ของเรา
26:44 ถึงเพียงนั้นก็ดีเมื่อเขาทั้งหลายอยู่ในแผ่นดินศัตรูของเขา เราจะไม่ละทิ้งเขาเราจะไม่เกลียดชังเขาถึงกับจะทำลายเขาเสียให้หมดทีเดียวและทำลายพันธสัญญาซึ่งมีกับเขาเสีย เพราะเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา

ฉธบ.7:9 เหตุฉะนี้พึงทราบเถิดว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าสัตย์ซื่อผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความเมตตาต่อบรรดาผู้ที่รักพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน

2.    อย่าแสวงหาคำตอบหรือหนทางจากมนุษย์แทนการเข้าหาพระเจ้า … อย่าด่วนก้าวเร็วกว่าที่พระเจ้าจะทำ เพราะอาจทำให้ไว้วางใจพระเจ้าไม่ได้จนต้องคลำหาหนทางด้วยตัวเอง ความรีบร้อนของตนเองมักทำให้ทำตามใจปรารถนาตนเองมากกว่าตามแผนการณ์และน้ำพระทัยพระเจ้าซึ่งจะหาการรับรองจากที่ไหนได้หรือ?

3.    อย่าเกรงกลัวหรือหวั่นไหวต่อศัตรู เพียงเพราะดูภายนอกเราด้อยกว่า หรือ เขาเด่นกว่า… แท้จริงชัยชนะเป็นของเราต่างหาก เพราะพระเจ้าได้จัดการศัตรูที่ตัวใหญ่เกินกว่ากำลังของเราให้กับเราแล้วตั้งแต่เราตัดสินใจก้าวเท้าออกมา ดังนั้นอย่ากลัวด้วยสิ่งที่ตาเห็น อย่ากลัวด้วยเสียงคำร่ำลือ เพราะพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา แม้ศัตรูจะตัวใหญ่เพียงใด มันก็พ่ายแพ้ต่อความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าตั้งนานแล้ว แม้เราจะตัวเล็กนิดเดียว แต่พระองค์ก็อยู่ฝ่ายเรา ดังนั้นอย่ายอมเสียพันธสัญญากับพระเจ้าด้วยการยอมทำสัญญาที่เสียเปรียบของโลกนี้

*** อย่ายอมให้ใครหรือสิ่งใดมาพรากพระพรที่ควรเป็นของเราไป ด้วยการยอมต่อรอง ยอมเอนอ่อนผ่อนปรน หรือยอมฟังข้อเสนอแนะที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า

*** แท้จริงหากพระเจ้าตรัสกับเราอย่างชัดเจนแล้ว หน้าที่ของเราอย่างเดียวคือ เดินหน้าตอบสนอง ไม่ใช่หาพวกสนับสนุนการไม่ยอมก้าวของตนเอง

4.    หลายต่อหลายสิ่งที่เราพลาดไปจากพระสัญญาที่พระเจ้าตั้งไว้ให้กับเรา ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่ทรงสัจจริง ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ทรงตรัสไม่เป็นจริง… แต่เพราะว่าผลของการไม่เชื่อฟังซึ่งเราเองต่างหากที่เป็นผู้เลือกเดินเช่นนั้น

ตัวอย่าง คำเผยที่มาจากพระเจ้าจริงๆ ไม่ใช่ว่ามันไม่เกิดขึ้นจริง แต่เพราะไม่ทำตามเงื่อนไขคำเผยต่างหาก

*** เมื่อพระเจ้าเรียกให้เราก้าว พระองค์ได้ขนาบศัตรูให้พ่ายแพ้ต่อเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนของเราเพียงแค่ก้าวไปรับชัยชนะ อย่าหยุดชะงักด้วยการพินิจพิเคราะห์ความตัวใหญ่ของศัตรู !!!

 

25/07/2014 09:24

0Shares