อยู่ฝ่ายผู้ใด

By | 2015/09/16

ผู้คนในยุคพระเยซูต่างก็ไม่รู้แน่ชัดว่า “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้จริงหรือไม่?” …

พวกเขารอคอยพระผู้ช่วย จากความรู้ ความเข้าใจที่ถูกส่งต่อๆ กันมา จากรุ่นสู่รุ่น , จากบรรพบุรุษ และ ประเพณีคำสอนที่ตกทอดต่อๆ กันมา อีกทั้งจากบัญญัติที่ทุกคนต่างได้ร่ำเรียน สะสมพระคำไว้ ซึ่งความสามารถในการตีความ ก็คงไม่พ้นกรอบความจำกัด และ การคาดคิด ตามรูปแบบของมนุษย์ผู้จำกัด

เมื่อครั้งพระเยซูทรงปรากฏพระองค์เอง และ ทำสิ่งต่างๆ .. ทั้งเทศนา , สั่งสอน , ทำหมายสำคัญ , การอัศจรรย์ , … สิ่งต่างๆ ได้เกิดขึ้นตามคำพยากรณ์ เป็นที่เห็นแจ้ง และ ประจักษ์แก่ทุกคนในขณะนั้นดี แต่มีกลุ่มคนที่แบ่งแยกออกเป็น 3 ประเภท

1.    สาวก และ ผู้เชื่อ

– คนประเภทนี้เชื่อในสิ่งที่พระเยซูทรงทำ พวกเขาก็มีความจำกัด เฉกเช่นเดียวกับผู้อื่น ความรู้ ความเข้าใจ อยู่ในกรอบ และ รูปแบบของมนุษย์ แต่การเปิดออกของพวกเขามีมากกว่า ตรงที่เขาเปิดใจ และ เฝ้ารอคอยว่า… “พระผู้ช่วยของเขาจะมารูปแบบใดหนอ?”  เมื่อพระเยซูทำ และ เป็นในสิ่งที่บัญญัติ และ คำพยากรณ์ได้บอกไว้ เขาก็พร้อมจะรับพระเยซูเป็นพระเจ้าของเขา
– แท้ที่จริง กว่าเขาจะยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่เพราะพระเยซูทรงสำแดงพระองค์เองในด้านต่างๆ ให้พวกเขาได้เห็น , ได้สัมผัส … จนกระทั่งเขามั่นใจได้ว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า” โดยเทียบเคียงกับสิ่งที่เขารู้มา , อ่านมา , ศึกษามา จากบัญญัติของพระเจ้า และ มันสอดคล้อง เป็นจริง ในตัวของพระองค์เอง

2.    ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์

– ผู้ที่มากด้วยความรู้ แน่นด้วยพระคำ ยิ่งเสียกว่าใครๆ  … ส่วนที่ผู้อื่นไม่รู้ ไม่ได้ใส่ใจในการศึกษา คนกลุ่มนี้ทุ่มเท และ ให้น้ำหนักในการศึกษาบัญญัติของพระเจ้า อาจเพราะเป็นหน้าที่หลักของเขา ที่ไม่ต้องใช้เวลาไปกับการทำมาหากินให้มากเท่ากับการใช้เวลาใคร่ครวญศึกษาพระคำพระเจ้า
– แต่เนื่องด้วยความจำกัดของมนุษย์ การพยายามคิดในรูปแบบกรอบของตนเอง และ โลกจึงเกิดขึ้น ทำให้พยายามทำสิ่งต่างๆ ออกมาให้เป็นรูปธรรมมากกว่านามธรรม , สร้างกฎเกณฑ์โดยบวกความคิดเห็นของตนเองเข้าไป เสมือนว่าเป็นหนึ่งเดียวกับพระคำของพระเจ้า แล้วออกแบบบัญญัตินั้นขึ้นมาสำหรับการดำเนินชีวิต เพื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากที่สุด
แต่เมื่อความจริงของพระเจ้าปรากฏขึ้น แตกต่างจากกรอบที่ตนเองสร้างขึ้นมา จึงทำให้ยอมรับไม่ได้ และ ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง  แม้ว่าพระเยซูจะทรงทำทุกสิ่ง และ เป็นทุกอย่างตามที่คำพยากรณ์ และ บัญญัติกล่าวไว้ก็ตาม (คนผู้ที่รู้มาก และ รู้ลึกกว่าใครๆ ย่อมรู้อยู่เต็มอกเสียยิ่งกว่า เพราะความรู้เหล่านั้นเป็นพยานกลับมาที่พระเยซู) … เขาได้แต่ฉงนสนเท่ห์ในพระปัญญาของพระองค์ แต่ก็ไม่อาจยอมรับได้ เพราะเกรงว่า …ที่ตนทำ และ ถือปฏิบัติมาทั้งหมดจะสูญเปล่า และ เสียเกียรติ
– การเปิดใจยอมรับในสิ่งที่ผิด และ แตกต่างจากที่ตนเองวางแผนไว้ , คิดไว้ , ตีกรอบไว้ ,… เป็นสิ่งที่พวกเขาตัดทิ้ง และ ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ซ้ำร้ายยังลุกขึ้นต่อสู้กับพระเยซู ทั้งๆ ที่ตนเองก็หาเหตุเอาผิดพระองค์ไม่ได้ เนื่องจากพระคำแห่งบัญญัติของพระเจ้า และ การพยากรณ์ก็รองรับอย่างหนาแน่ทุกด้าน ประจักษ์ให้เห็นแก่พยานมากมาย

3.    ผู้ไม่เชื่อ

– ผู้ที่ไม่มีแก่นสารใดๆ ทั้งสิ้นในความเชื่อ พร้อมที่จะโอนเอนไปตามเสียงข้างมาก และ กระแสยั่วยุ , สิ่งที่ดูเหมือนจริง , สิ่งที่หลอกลวง , สิ่งที่เป็นจริง ก็แยกแยะไม่ออก … อันเนื่องจากอ่อนประสบการณ์ตรง และ ไม่ได้ลงลึก ไม่ได้ใส่ใจกับการศึกษาบัญญัติของพระเจ้ามากนัก อาจเนื่องจากภาระการทำมาหากิน บริบทชีวิต หรือ แม้แต่รากฐานในความรู้ ความเข้าใจ การเอาใจใส่ การจดจ่อในด้านพระคำ พระบัญญัติมีน้อยนิด
การตัดสินใจของเขาเป็นไปตามกระแส สิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน มากเสียกว่าหลักการ หรือแก่นสารใดๆ พวกเขาโห่ร้องให้ตรึงพระเยซูบนกางเขนทั้งที่ไม่รู้ข้อมูล , ไม่รู้ความจริง , ไม่ได้มีประสบการณ์ตรงอะไรทั้งสิ้น … บ้างก็เคยได้ยินคำสั่งสอนของพระเยซู , บ้างก็เคยเห็นพระองค์ทำพระราชกิจ , บ้างก็เคยรู้เรื่องราวเพียงบางส่วน … แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้มีผลอันใดในการทำให้พวกเขามั่นคงหรือเติบโตขึ้นในความรู้ถึงพระบิดาเลย
– เป็นบุคคลที่ถูกชักจูงได้ง่ายดาย และ เป็นเป้าสำหรับผู้ชักจูง เพราะคนกลุ่มนี้มีจำนวนมหาศาลกว่าทุกกลุ่มคน

อยู่ฝ่ายผู้ใด

1.    เราทุกคนต่างต้องศึกษาพระคัมภีร์ของพระเจ้าเองเป็นการส่วนตัว เพื่อรับความเข้าใจ มีประสบการณ์ตรง อีกทั้งเป็นกรอบ และ เข็มทิศชี้นำชีวิต แน่นอนว่า ในตอนนั้น ในยุคนั้น ไม่มีอะไรเป็น guarantee (รับประกัน) ได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้จริงๆ”  หรือ เป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้เผยวจนะเท่านั้น  … ซึ่งแตกต่างกับสมัยนี้ ยุคนี้ ที่หลายสิ่งหลายอย่างปรากฏ และ แน่ชัดแล้วว่า “พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” … แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในวิถีการดำเนินชีวิตเราก็ยังคงเป็นเช่นเดิม เช่นเดียวกับทุกยุคทุกสมัยอยู่ดี คือ การเลือกที่จะยืนอยู่ฝ่ายใด??!!!??

2.    เราจำเป็นต้องสำรวจตนเองสม่ำเสมอว่า “กำลังยืนอยู่ฝ่ายใด” แน่นอนว่าการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นผู้เลือก ณ เวลานั้น นาทีนั้น อาจจะไม่มีใครรู้ก็ได้ว่าถูก หรือ ผิด?  ใช่ หรือ เปล่า?  เหมือนอย่างที่ตอนนั้นก็ไม่มีใครอาจรับรองได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า” และ “เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้” … จวบจนกระทั่งทรงฟื้นพระชนม์ จวบจนกระทั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเสด็จมาเหนือผู้เชื่อบนห้องชั้นใน จวบจนกระทั่งทุกวันนี้…
… เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น เราต้องตัดสินใจ (ในแต่ละวัน แต่ละเรื่อง) ว่าเรายังคงยืนอยู่ฝ่ายพระเยซูหรือไม่??? หรือว่าเรากลับมายืนที่ฝ่ายฟาริสีเสียแล้ว คือ เอาตนเอง , เหตุผลของตน , แผนของตน , ความคิดของตนเป็นใหญ่ แม้จะหาเหตุให้ขัดขืน หรือ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นพระเจ้าก็ตาม แต่ก็ยังคงปฏิเสธ หรือ ปัดมือของพระองค์ออกไป แต่มุ่งตรง ยืนยันแผนการของตนเอง

3.    การยอมรับการเป็นพระเจ้าของพระเยซูในชีวิตของเรานั้น  จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของเราเอง ซึ่งสิ่งนั้นเป็นเฉกเช่นเดียวกันทุกยุคทุกสมัย แน่นอนว่า ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด… แต่เพราะพระคุณของพระเจ้าที่ทรงให้แก่เราบนกางเขนแล้วนั้น ท่ามกลางความผิดพลาด ท่ามกลางที่ตัดสินใจผิด ท่ามกลางการเลือกข้างผิด … พระองค์ก็ยังทรงให้โอกาสแก่เราใหม่เสมอ เหมือนอย่างที่ทรงให้โอกาสใหม่แก่อัครสาวกที่ผิดพลาดในการเลือก (ด้วยความอ่อนแอของเนื้อหนัง = ความกลัว)… ดังนั้นเราจึงมีโอกาส และ ได้รับโอกาสให้ยืนอยู่ฝ่ายพระเจ้าเสมอ ทรงตามหาสาวก และ เรียกเขากลับสู่พันธกิจแห่งการประกาศจนสุดปลายแผ่นดินโลก

4.    ทุกครั้งก่อนตัดสินใจทำ หรือ เลือกสิ่งใด … ควรมีระยะในการใคร่ครวญสักนิดว่า “พระเยซูทรงอยู่ด้วยหรือไม่?”

2015-09-15

0Shares