โดยปกติธรรมชาติของมนุษย์มักมีความปรารถนาอยากได้ อยากครอบครอง สิ่งต่างๆ ในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่จบสิ้น
แต่ทุกความปรารถนาที่ประสบผลสำเร็จ มีหลายปัจจัยที่ข้องเกี่ยว โดยเฉพาะปัจจัยของการหว่าน เมื่อเราหว่านสิ่งใดลงไป ย่อมได้เก็บเกี่ยวผลจากสิ่งนั้นๆ
2 คร.9:6-7
9:6 นี่แหละ คนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเกี่ยวเก็บได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มาก
9:7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี
พระเจ้ามีน้ำพระทัยที่จะประทานให้แก่คนของพระองค์อย่างเต็มที่เป็นที่ตั้งอยู่แล้ว แต่เราแต่ละคนได้รับแตกต่างกัน อันเนื่องมาจากขนาดของการหว่าน
อยากได้สิ่งยิ่งใหญ่
แบบอย่างที่น่าเรียนรู้
1. อยากได้ความมั่งคั่งแบบโยบ ต้องผ่านจุดวิกฤตอย่างที่สุดแบบที่โยบผ่าน
กว่าจะทวีคูณความมั่งคั่งที่มีอยู่ โยบถูกเขย่าจนกระทั่งหมดสิ้นทุกสิ่ง และในขณะที่หมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง เขายังคงยืนหยัดและติดตามพระเจ้าเป็นอย่างดี ไม่ต่างจากในวันเวลาที่เขามีเลย ดังนั้น พระพร ฟ้าหลังฝนจึงยิ่งทวีคูณความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามายังชีวิตของเขามากกว่าเดิมเสียอีก ฐานเดิมถูกเปลี่ยนเป็นฐานใหม่ที่กว้างใหญ่มากขึ้นเป็นเท่าตัว จากวิกฤตการณ์กลับกลายเป็นจุดแห่งการรื้อฟื้นอย่างมาก ด้วยหัวใจที่ขอบพระคุณพระเจ้าต่อทุกสถานการณ์ที่เขาได้รับและต้องเผชิญ
โยบ 1:1-2
1:21 ท่านว่า “ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเยโฮวาห์ทรงประทาน และพระเยโฮวาห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเยโฮวาห์”
1:22 ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้นโยบมิได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้าอย่างโง่เขลา
โยบ 2:9-10
2:9 แล้วภรรยาท่านเรียนว่า “ท่านยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์ของท่านอีกหรือ จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ”
2:10 แต่ท่านตอบนางว่า “เธอพูดอย่างหญิงโฉดจะพึงพูด อะไรกัน เราจะรับสิ่งดีจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และจะไม่รับของชั่วบ้างหรือ” ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้นโยบมิได้กระทำบาปด้วยริมฝีปากของตน
ผลที่โยบได้รับแบบทวีคูณกว่าฐานเดิม
โยบ 42:10-17
42:10 และพระเยโฮวาห์ทรงให้โยบกลับสู่สภาพดี เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อสหายของท่าน และพระเยโฮวาห์ประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน
42:11 และบรรดาพี่น้องชายหญิงของท่าน และบรรดาผู้ที่รู้จักท่านมาก่อนได้มาหาท่าน และรับประทานอาหารกับท่านในบ้านของท่าน และเขาทั้งหลายสำแดงความเห็นอกเห็นใจและเล้าโลมท่าน ด้วยเรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้นซึ่งพระเยโฮวาห์ทรงนำมาเหนือท่าน และต่างก็ให้เงินแผ่นหนึ่งกับตุ้มหูทองคำอันหนึ่งแก่ท่าน
42:12 และพระเยโฮวาห์ทรงอวยพรชีวิตบั้นปลายของโยบมากยิ่งกว่าข้างต้นของท่าน และท่านมีแกะหนึ่งหมื่นสี่พัน อูฐหกพัน วัวผู้พันคู่ และลาตัวเมียหนึ่งพัน
42:13 ท่านมีบุตรชายเจ็ดคน และบุตรสาวสามคนด้วย
42:14 และท่านเรียกชื่อคนแรกว่า เยมีมาห์ และชื่อคนที่สอง เคสิยาห์ และชื่อคนที่สาม เคเรนหัปปุค
42:15 และในแผ่นดินนั้นทั้งสิ้นไม่มีหญิงใดงดงามเท่าบรรดาบุตรสาวของโยบ และบิดาของเขาได้ให้มรดกแก่เธอพร้อมกับพวกพี่ชายและน้องชายของเธอ
42:16 ต่อจากนี้ไป โยบมีชีวิตอยู่อีกหนึ่งร้อยสี่สิบปี และได้เห็นบุตรชายของท่าน หลานเหลนของท่านสี่ชั่วอายุ
42:17 และโยบก็สิ้นชีวิตเป็นคนแก่หง่อมทีเดียว
(อ่านเพิ่มเติมในพระธรรมโยบทั้งหมด)
2. โยเซฟ ถูกขาย แต่พระเจ้าให้ความมั่งคั่งอย่างที่สุด
ชายผู้เล็กน้อยอย่างที่สุด แม้พระเจ้าจะให้นิมิตแก่เขาใหญ่โต ซึ่งในสภาวะนั้นสวนทางกับความเป็นจริงชนิดไม่ติดฝุ่น นำความเกลียดชังของคนรอบข้างมาถึงเขา เพราะเมื่อเทียบกับกายภาพที่เป็นอยู่ มันกลับกลายเป็นเหมือนความหยิ่งยโสที่โอ้อวดอย่างไร้การประเมินตน แน่นอนทีเดียวว่า… ผู้ที่มั่นใจในพระเจ้าอย่างที่สุด คือ ตัวของโยเซฟเอง แม้เขาเป็นเพียงแค่เด็กน้อย
โยเซฟผ่านทุกช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากอย่างที่สุด เพียงลำพัง ในขณะที่ยังเด็กอยู่ จนกระทั่งเติบโต แต่สิ่งที่เขาตอบสนองต่อพระเจ้า คือ ยึดไว้ซึ่งการสำแดงที่เด่นชัดของพระเจ้าในชีวิตเขา แม้ดูเหมือนจะริบหรี่ หรือเป็นไปไม่ได้เลยในสายตาของมนุษย์โดยเฉพาะเด็กน้อยคนหนึ่ง แต่เขากลับไม่ขมขื่นต่อพระเจ้าถึงสิ่งที่ต้องเผชิญ กลับกลายเป็นความหวังใจและสัตย์ซื่อในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างดี แม้จะเล็กน้อยหรือตกต่ำสักเพียงใด การช่วยกู้ของพระเจ้าไม่เคยพรากไปจากโยเซฟแม้ต้องเผชิญสิ่งต่างๆ เพียงลำพัง แม้ในคุกมืด หรือแม้แต่คนที่ริษยาพยายามปรักปรำเขา โยเซฟเติบโตมาอย่างไม่โดดเดี่ยวด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางเขา แทนที่ความขมขื่น คือ ความหวังใจและยึดพระสัญญาของพระเจ้าไว้ ความโปรดปรานของพระเจ้าเป็นที่สัมผัสได้ต่อตัวของเขาเอง และคนรอบข้าง จนกระทั่งเวลาแห่งการสุกงอมมาถึง การยกชูเกิดขึ้นเพียงข้ามคืน
ปฐก.37:4-11
37:4 และเมื่อพวกพี่ชายของเขาเห็นว่าบิดาของพวกเขารักโยเซฟมากกว่าบรรดาพี่ชาย พวกเขาก็เกลียดชังโยเซฟ และพูดดีกับเขาไม่ได้
37:5 และโยเซฟได้ฝัน และเขาเล่าถึงความฝันนั้นให้พวกพี่ชายของเขาฟัง และพวกพี่ชายยิ่งเกลียดชังเขามากขึ้น
37:6 และโยเซฟพูดกับพวกพี่ชายว่า “ข้าพเจ้าขอพวกพี่ฟังความฝันนี้ซึ่งข้าพเจ้าฝันเห็น
37:7 เพราะ ดูเถิด พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในทุ่งนา และดูซิ ฟ่อนข้าวของข้าพเจ้าตั้งขึ้น และยืนตรงด้วย และดูเถิด ฟ่อนข้าวของพวกพี่มายืนห้อมล้อมและกราบไหว้ฟ่อนข้าวของข้าพเจ้า”
37:8 และพวกพี่ชายของเขาได้พูดกับเขาว่า “เจ้าจะปกครองเหนือพวกเราอย่างนั้นหรือ เจ้าจะมีอำนาจครอบครองเหนือพวกเราหรือ” และพวกพี่ชายก็ยิ่งเกลียดชังเขามากขึ้นอีกเพราะบรรดาความฝันของเขา และเพราะบรรดาคำพูดของเขา
37:9 และเขาฝันอีก และได้เล่าความฝันให้พวกพี่ชายของเขาฟัง และพูดว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าฝันอีกครั้งหนึ่ง และดูเถิด ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ และดวงดาวสิบเอ็ดดวงกำลังกราบไหว้ข้าพเจ้า”
37:10 และเขาเล่าความฝันให้บิดาของเขาและพวกพี่ชายของเขาฟัง และบิดาของเขาก็ว่ากล่าวเขา และพูดกับเขาว่า “ความฝันที่เจ้าได้ฝันเห็นนั้นหมายความว่าอะไร เรากับมารดาของเจ้าและพวกพี่ชายของเจ้าจะมาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เจ้าอย่างนั้นหรือ”
37:11 และพวกพี่ชายของเขาก็อิจฉาเขา แต่บิดาของเขาก็นิ่งตรองเรื่องนี้อยู่แต่ในใจ
โยเซฟร่ำรวยและมั่งคั่งเป็นอย่างมาก ชนิดที่แม้แต่บรรพบุรุษที่ว่ารวยอยู่แล้ว ยังเทียบไม่ติด เพราะเขาสามารถล่วงรู้วาระเวลาล่วงหน้าถึง 14 ปี 7 ปีของการเก็บเกี่ยวอาหารเพื่อยามกันดาร 7 ปีของการกันดารอาหารที่เขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย แต่กลับเป็นคนที่ช่วยเหลือผู้คนทั่วแผ่นดิน รวมไปถึงการกลับคืนดีกับครอบครัวด้วยซ้ำ
ปฐก.41:38-44
41:38 และฟาโรห์ตรัสกับบรรดาข้าราชการของพระองค์ว่า “เราจะหาคนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัวเหมือนคนนี้ได้หรือ”
41:39 และฟาโรห์ได้ตรัสกับโยเซฟว่า “เพราะพระเจ้าได้ทรงสำแดงเรื่องนี้ทั้งสิ้นแก่เจ้า จะหาผู้ใดที่มีความคิดดีและมีปัญญาเหมือนเจ้าก็ไม่ได้
41:40 เจ้าจะดูแลราชสำนักของเรา และประชาชนทั้งหลายของเราจะถูกปกครองตามคำของเจ้า เว้นแต่ฝ่ายพระที่นั่งเท่านั้นเราจะเป็นใหญ่กว่าเจ้า”
41:41 และฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า “ดูเถิด เราตั้งเจ้าให้เป็นผู้ดูแลทั่วแผ่นดินแห่งอียิปต์แล้ว”
41:42 และฟาโรห์ทรงถอดแหวนตราออกจากพระหัตถ์ของพระองค์ และสวมที่มือของโยเซฟ และให้ท่านสวมเสื้อผ้าป่านเนื้อละเอียด และสวมสร้อยทองคำให้ที่คอของท่าน
41:43 และพระองค์ทรงให้ท่านใช้รถหลวงคันที่สองซึ่งพระองค์มีอยู่ และมีพวกคนร้องประกาศข้างหน้าท่านว่า “คุกเข่าลงเถิด” และพระองค์ทรงตั้งท่านให้เป็นผู้ดูแลทั่วแผ่นดินแห่งอียิปต์
41:44 และฟาโรห์ได้ตรัสกับโยเซฟว่า “เราคือฟาโรห์ และไม่มีคนทั่วแผ่นดินแห่งอียิปต์จะยกมือของเขาหรือยกเท้าของเขาได้เว้นแต่เจ้าจะอนุญาต”
(อ่านเพิ่มเติม ปฐมกาล บทที่ 37-50)
ความยุติธรรมของพระเจ้า และการรับรองในหลักการหว่านของพระเจ้านั้นเที่ยงตรงเสมอ ผู้ที่สัตย์ซื่อในส่วนของตนเองอย่างดี และเต็มที่ ย่อมได้เก็บเกี่ยวจากผลที่ออกมาเป็นแน่ และหว่านผลใด ย่อมได้เก็บเกี่ยวผลนั้น
มธ.7:17-20
7:17 ดังนั้นแหละต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
7:18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
7:19 ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ
7:20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา
อยากได้สิ่งยิ่งใหญ่
1. อย่ากลัวการลงแรง เมื่อพระเจ้าขับเคลื่อน หรือเรียกร้องสิ่งใดๆ จากเรา จงใช้ความกล้าหาญ + ความเชื่อ เพื่อก้าวออกไปด้วยการเชื่อฟัง ซึ่งทันทีที่ก้าว นั่นคือ การหว่านเมล็ดลงดินแล้ว หลังจากนั้นรอคอยการเก็บเกี่ยวผลที่เกิดขึ้นด้วยความหวังใจ
2. การนั่งรอคอยคาดหวังสิ่งที่เกินตัว จากการไม่ลงทุน ลงแรง ใดๆ เลย… ไม่แม้แต่จะใช้ความเชื่อ หรือขยับเขยื้อนตนเองไปตามการทรงนำของพระเจ้า เรียกว่า “การมโนภาพ” แน่นอนว่าพระเจ้าสามารถอวยพรเราได้ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ใช่วิถีทางที่จะทรงทำในชีวิตของเรา
3. บรรพบุรุษทางความเชื่อ บุคคลต่างๆ ที่ได้ปรากฏในพระคัมภีร์ ที่เห็นการอัศจรรย์และความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ากระทำผ่าน ต่างก็เริ่มต้นด้วยการตอบสนองพระเจ้าอย่างง่ายๆ และสุดใจกันทั้งนั้น … ส่วนกำลัง ความสามารถ ส่วนประกอบที่ยังขาดอยู่ หรือเล็กน้อยอยู่นั้น เป็นส่วนที่พระเจ้าจะทรงช่วยและอยู่เคียงข้าง จนกระทั่งสำเร็จได้ และระหว่างทางนั้น ผู้ที่เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าต่อหน้าต่อตา ไม่ใช่แต่เพียงตนเอง แต่ยังรวมไปถึงผู้คนรอบข้างมากมายด้วย
4. พระเจ้าทรงกระทำส่วนของพระองค์อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย (*เพราะทรงเป็นพระเจ้า) เราก็มีส่วนของตนเองที่ต้องทำด้วยเช่นกัน เช่นนี้จึงเรียกว่า “เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์” คือ การเคลื่อนตัวไปพร้อมๆ กับพระองค์อย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน วิถีแห่งการอวยพรที่เกินขนาดความจำกัดของเรา ก็จะเกิดขึ้น สิ่งที่เกินความคาดหมายไว้ ก็จะเกิดขึ้น เพราะพระเจ้าทรงฤทธิ์อาญทำทุกสิ่งได้ และเพราะความชอบพระทัยของพระองค์ จึงโปรดปราน ประทานสิ่งที่เกินกว่าความคาดหมายไว้ เป็นรางวัลอันชุ่มฉ่ำและชื่นใจให้กับเรา
5. บางครั้งเราอาจไม่รู้ว่า ปริมาณและขนาดที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรามันมากมายขนาดไหน แต่ที่เราสามารถมั่นใจและวางใจได้ คือ มันจะไม่มีทางน้อยไปกว่าที่เราคาดหวังไว้เป็นแน่ๆ ขออย่างเดียว คือ อย่าให้มันหล่นหายไป เพราะการหละหลวมของตนเอง… การดำเนินชีวิตกับพระเจ้าในแต่ละวันคืนอย่างสัตย์ซื่อ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด และควรรักษาไว้ดุจดั่งของมีค่าที่ปล่อยให้หายหรือห่างกายไปไม่ได้เลย
6. ในความเป็นจริงเราแต่ละคนมีฐานชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้าน กายภาพ หน้าที่การงาน การเงิน หรืออื่นๆ ซึ่งการรักษาสถานะนั้นอาจเป็นเรื่องที่ต้องออกแรงอย่างพอตัวอยู่แล้ว… แต่การยกระดับไปอีกจุดหนึ่ง ย่อมมีจุดหักเห ที่นำความแตกหักสิ่งเก่าๆ ของตน เพื่อการรองรับสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่มขนาดมากขึ้น ใหญ่มากขึ้น อยู่ที่ว่า เราเองจะเลือกเช่นไร? รักสิ่งเดิมด้วยการรักษาสภาพ หรือไปต่อให้มากขึ้น เท่าที่พระเจ้าจะทรงทำ ซึ่งนั่น หมายถึงขนาดและปริมาณของพระพรที่จะมาถึงด้วยเช่นกัน
2016-01-15