คริสเตียนหลายคนมักกล่าวคำว่า “เอเมน” เป็นเพียงแค่การตอบสนองแสดงความเห็นด้วย หาใช่ การพิสูจน์ตนเองตามคำเหล่านั้น จึงทำให้ ไม่เห็นผลสิ่งใด ตามพระสัญญาของพระเจ้ามากเท่าที่ควร หรือได้รับเพียงแค่บางส่วน หรือเศษเสี้ยวของพระสัญญาเท่านั้น
แท้ที่จริงทุกคำตรัสและทุกพระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงอย่างครบถ้วน 100% ไม่มีขาดตกบกพร่อง เพราะพระเจ้าทรงสัตย์จริง และทรงสมบูรณ์แล้ว
*** หลายครั้งสิทธิอำนาจที่หายไป มักเกิดจากการไม่ก้าวตาม ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจนั่นเอง
การกล่าวว่า “เอเมน” ที่เป็นเพียงแค่การขานรับ ด้วยใจปรารถนาอยากได้รับสิ่งนั้นๆ ไม่เพียงพอ เพราะในความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าทรงตรวจวัดและตรวจค้น ทุกส่วนของชีวิตเรา ทรงรู้ภายในที่ลึกที่สุดของชีวิต ไม่ว่าจะทางกายภาพ จิตใจ หรือจิตวิญญาณ รวมถึงเค้าโครงความคิดและท่าทีภายในใจด้วย ไม่มีสิ่งใดปิดซ่อนไปจากพระเนตร พระกรรณของพระเจ้าพ้น ดังนั้น ผลที่ได้รับและขนาดที่ได้รับของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน หรือแม้แต่ในคนๆ เดียวกัน ก็อาจได้รับ ปริมาณของพระพรที่แตกต่างกันไป ในแต่ละเวลา เนื่องจากการเติบโตในการตอบสนองที่แตกต่างกันไปแต่ละช่วงของชีวิต
สิทธิอำนาจที่หายไป
1. พึงตระหนักและรู้ว่าพระเจ้าไม่เคยผิดพลาดหรือบิดพริ้ว หากว่า ปริมาณหรือขนาด ที่ตนเองได้รับ น้อยกว่า พระสัญญาที่ทรงตรัส นั่นหมายถึง การต้องสำรวจตนเอง เพื่อ ปรับเปลี่ยน และรับการสร้างให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
2. พระพรของพระเจ้า ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขชีวิต และเงื่อนไขเวลา
เงื่อนไขชีวิต หมายถึง การดำเนินชีวิต ที่สอดคล้องกับพระพร ที่จะมาถึง (เดินตามพระคำของพระเจ้า)
เงื่อนไขเวลา หมายถึง ในแต่ละพระพรมีช่วงเวลาของมันเอง เมื่อเวลามาถึง พระพรก็จะมาถึงด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ต้นไม้มีเวลาแห่งการเติบโต เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ก็จะออกผล ***ส่วนผลจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ เงื่อนไขชีวิต***
3. พระเจ้าทรงจัดเตรียมและมอบพระพรให้กับเรา ด้วยสิทธิอำนาจที่ทรงตั้งไว้อยู่แล้ว แต่หลายครั้งดูเหมือนว่าสิทธิอำนาจเหล่านั้นได้หายไปหรือลดทอนลงไป… ไม่ใช่ว่าเพราะ พระเจ้าทรงด้อยหรือเสื่อมสิทธิอำนาจ แต่เป็นเพราะ การตอบสนอง ที่หนักแน่นของตนเอง เป็นตัวกำหนดให้ สิทธิอำนาจที่พระเจ้ามอบไว้ในมือของเราด้อยลง หรือ มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น ตอนที่พระเยซู ใช้สาวกออกไปประกาศเป็นคู่ๆ ก็ไม่สามารถ ขับผีหรือรักษาโรคได้ทั้งหมด แม้ว่าจะกระทำโดยนามพระเยซูก็ตาม… ไม่ใช่ว่านามพระเยซูไม่ศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่เป็นผล แต่เป็นเพราะว่า ลักษณะชีวิตของสาวกในตอนนั้น ยังไม่เติบโตด้านความเชื่อ ความเข้าใจ อย่างเพียงพอ จึงทำให้ บางสิ่งเกิดผลเพียงแค่น้อยนิด ในขณะเดียวกัน เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น เขากลับ ทำสิ่งเดียวกัน แต่ได้ผลในปริมาณที่มาก ในเวลาต่อมา
มก.6:7 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา แล้วทรงใช้พวกเขาออกไปเป็นคู่ๆ และประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาขับผีร้ายออกได้
มธ.14:14-20
14 เมื่อพระเยซูกับพวกสาวกเสด็จมาถึงฝูงชนแล้ว มีชายคนหนึ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลง ทูลว่า
15 “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงพระเมตตาลูกของข้าพระองค์เถิด เพราะเขาเป็นโรคลมบ้าหมู มีความทุกข์ทรมานมาก เคยตกไฟตกน้ำบ่อยๆ
16 ข้าพระองค์พาเขามาหาพวกสาวกของพระองค์ แต่สาวกรักษาเขาไม่ได้”
17 พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อและวิปลาส เราจะต้องอดกลั้นกับพวกท่านนานเพียงไร? จงพาเด็กคนนั้นมาหาเราที่นี่เถิด”
18 พระเยซูจึงตรัสสำทับผีนั้น มันก็ออกจากตัวเด็ก ในทันใดนั้นเด็กก็หายเป็นปกติ
19 ภายหลังสาวกทั้งหลายของพระเยซูมาหาพระองค์เป็นการส่วนตัว ทูลถามว่า “ทำไมพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้?”
20 พระเยซูตรัสตอบว่า “เพราะว่าพวกท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง พวกท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเคลื่อนไป และสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย”
ลก.9:37-43
37 วันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับสาวกสามคนนั้นลงมาจากภูเขาแล้ว มหาชนมาพบพระองค์
38 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งในฝูงชนร้องว่า “ท่านอาจารย์ โปรดช่วยดูลูกของข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้ามีลูกเพียงคนเดียว
39 เวลาเขาถูกผีสิง เด็กก็กรีดร้องขึ้นทันที ผีมักจะทำให้เขาชักดิ้นชักงอจนน้ำลายฟูมปาก ทำให้เนื้อตัวเขาฟกช้ำ และไม่ค่อยยอมออกจากตัวเขา
40 ข้าพเจ้าขอให้พวกสาวกของพระองค์ขับมันออก แต่เขาทำไม่ได้”
41 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อและวิปลาส เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดกลั้นกับพวกท่านนานเพียงไร? จงไปพาบุตรของท่านมาที่นี่”
42 ระหว่างที่เด็กคนนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มลงชัก แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้น และทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาของเขา
43 ทุกคนต่างก็ประหลาดใจมากในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
กจ.5:12-16
12 มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลายอย่างที่พระเจ้าทรงทำด้วยมือของบรรดาอัครทูตท่ามกลางประชาชน และพวกเขารวมกันอยู่ที่เฉลียงของซาโลมอน
13 ส่วนคนอื่นๆ ไม่กล้าเข้ามาร่วมกับพวกเขา แต่ประชาชนเคารพพวกเขามาก
14 และชายหญิงจำนวนมากก็เชื่อถือและเข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน
15 จนเขาทั้งหลายต่างหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนโดยวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อว่าเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกพวกเขาบางคน
16 ประชาชนจากเมืองที่อยู่รอบกรุงเยรูซาเล็มมารวมกัน และพาบรรดาคนป่วยและคนมีผีโสโครกเบียดเบียนมา และทุกคนก็หาย
4. พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจที่สมบูรณ์ แต่ส่วนมนุษย์นั้น สิทธิอำนาจจะค่อยๆเพิ่มพูน ตามการปั้นแต่งผ่านกระบวนการสร้างชีวิตของพระเจ้าภายในตน บนแผ่นดินโลกผ่านสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พระคำ สถานการณ์ในชีวิต การเรียนรู้ วันเวลาต่างๆ สิ่งเหล่านี้ ล้วนสร้างให้เติบโตขึ้น และมาพร้อมกับสิทธิอำนาจที่เพิ่มพูนขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ที่อายุมากกว่าจะมีสิทธิอำนาจมากกว่าเสมอไป เพียงแต่มีโอกาสและความเป็นไปได้มากกว่าเท่านั้น เพราะอีกด้านหนึ่ง คือการตอบสนอง การยอมจำนน การเชื่อฟังและการเรียนรู้จากพระเจ้า ที่เป็นแกนหลักของการพัฒนาสิทธิอำนาจในมือของตน ที่พระเจ้ามอบให้ต่างหาก
*** ดังนั้นการตอบสนองพระเจ้า จึงไม่ใช่เพียงแค่การกล่าวว่า “เอเมน” ที่แสดง ความเห็นด้วยเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของมิติชีวิต ที่ครบถ้วน รอบด้าน ในการเห็นด้วย ในการเป็นไปตามนั้น เป็นไปในทิศทาง สอดคล้องเดียวกัน ทั้งคำพูด การดำเนินชีวิต แนวความคิด วิถีปฏิบัติ
2016-10-07