ขณะนี้ข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ด้านหลังบัลลังก์พิพากษา ทันทีที่รู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนี้ก็เริ่มพยายามจะขยับตัวเพื่อไปอยู่ในส่วนที่คนอื่นเขายืนกัน แต่เสียงอันหนักแน่นขององค์พระผู้เป็นเจ้าดังขึ้น
“เจ้าจงยืนอยู่ตรงนั้น และมองดูสิ่งที่เราจะให้เจ้าเห็นกับตา เจ้าสามารถนำความเหล่านี้ไปบอกผู้คนได้ถึงสิ่งที่เจ้ามองเห็น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส… ในขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ด้านหลังบัลลังก์มองเห็นเพียงเบื้องหลังพนักพิงของบัลลังก์ที่ใหญ่โตและน่าเกรงขามสะท้อนออกมา เท้าก็อ่อนแรงด้วยเหตุที่ใจภายในยำเกรงและสั่นกลัวว่าตนเองยืนอยู่ผิดที่ผิดทาง เนื่องจากครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยมาที่หน้าบัลลังก์นี้แล้ว แต่การมาครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ยืนอยู่เบื้องล่างต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแบบตัวต่อตัวและรายล้อมไปด้วยบรรดาทูตสวรรค์ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เวลานี้สิ่งที่ตาเห็น บวกกับใจที่สั่นคร้ามภายใน ทำให้ร่างกายทรุดลงถึงดิน ขาที่เปลี้ยด้วยหมดแรง ทูตสวรรค์ 2 ตนเข้ามาประคองแขนข้าพเจ้าให้ลุกขึ้นยืนและกล่าวข้างหูเบาๆ ว่า
“อดทนไว้ และมองดูทุกรายละเอียดให้มากที่สุด องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะเปิดเผยกับท่าน”…
ข้าพเจ้าใช้เวลาสักครู่ในการพยายามวางความกลัวลง และพยายามพยุงตัวให้ยืนให้มั่น แต่ถึงกระนั้นขาก็ยังคงเปลี้ย ทูตสวรรค์ทั้ง 2 ยังคงพยุงแขนทั้ง 2 ข้างของข้าพเจ้าทั้งซ้ายขวา จนกระทั่งขาข้าพเจ้าเริ่มมาเรี่ยวแรงมากขึ้นๆ พอจะพยุงตัวเองอยู่
ข้าพเจ้าพยายามสอดส่ายสายตากวาดมองไปรอบๆ และเก็บรายละเอียดในองค์ประกอบต่างๆ ที่ตาเห็นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ภายในรับรู้ได้ทันทีว่ากำลังที่ทำให้สามารถยืนอยู่ได้ในขณะนี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ประทับอยู่เบื้องหน้าของข้าพเจ้า ใจภายในภาวนาแต่เพียงว่า “นี่แค่ด้านหลังยังขนาดนี้เลย โอ้ววว ช่วยข้าพระองค์ด้วย โปรดเถิด โปรดด้วย อย่าปล่อยข้าพระองค์ไว้”
สิ่งที่เห็นเป็นดังนี้
ผู้คนจำนวนมากใส่ชุดสีขาวโพลนดูสว่างไสวสวยงามไปหมดยืนอยู่เต็มพื้นที่เบื้องล่างหน้าบัลลังก์ ความขาวนั้นสะท้อนออกมา แวววาวระยิบเป็นประกายสีขาวสว่างไสว ดั่งมีเรืองแสงได้ด้วยตัวมันเอง ข้าพเจ้าพยายามเปรียบเทียบความขาวเหล่านี้จากโลก แต่ก็หา ใดๆ ในโลกมาเปรียบเพื่ออธิบายก็ไม่ได้
ความขาวสว่างไสวของชุดที่แต่ละคนใส่ไม่เท่ากัน บางคนชุดเรืองแสงได้ บางคนชุดเป็นสีขาวหม่นๆ บางคนมีเครื่องประดับที่สวยงามสะท้อนออกมาแวววาวอย่างเด่นชัด ไม่เพียงแค่ชุดเท่านั้น… แต่ใบหน้าของแต่ละคนก็โดดเด่นไม่แพ้กัน บางคนมีใบหน้าทอแสงออกมา บางคนมีแววตาเสียดาย แต่ใบหน้าก็ยังคงชื่นชมยินดีมาก…พวกเขาเหล่านั้นยืนอยู่ในห้องที่มีความใหญ่โตหรูหราเพดานสูงสุดลูกหูลูกตา มีแสงระยิบระยับออกทองๆ และประกายเพชรสะท้อนออกมาโดยรอบกำแพงและเพดาน บริเวณรอบๆไม่มีทูตสวรรค์คอยยืนเฝ้าเลย เพราะบรรดาทูตสวรรค์ได้ปะปนอยู่กับบรรดาผู้ที่ใส่ชุดขาวเหล่านั้น แต่การปกคลุมหนาแน่นประกาศการครอบครองขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นความบริสุทธิ์เต็มพื้นที่จนความไม่บริสุทธิ์ไม่สามารถเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ได้…
อีกด้านหนึ่งที่บนบัลลังก์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทับนั่งอยู่ แสงสาดส่องแวววาวแสบตา สัมผัสและรู้อยู่แก่ใจว่านี่คือ องค์บริสุทธิ์ผู้ที่จะทำหน้าที่พิพากษาเราทั้งหลาย แม้ขนาดเท้าก็ยังดูงดงาม สวยงามยิ่งนัก เต็มไปด้วยความอบอุ่น รู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลาย แต่ก็ยังสะท้อนความยิ่งใหญ่ที่น่ายำเกรงออกมาอย่างที่สุด 2 ข้างซ้ายขวามีทูตสวรรค์ยืนอยู่ ทูตทั้ง 2 มีปีกขนาดใหญ่สีขาว ซึ่งคือ 2 ตนนี้เองที่เมื่อกี้พยุงให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน เขาทั้ง 2 คอยทำหน้าที่สอดส่องโดยรอบ บางเวลาเขาก็ยืนอยู่ข้างซ้ายขวาเพื่อปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าบนบัลลังก์ บางเวลาเขาก็บินไปรอบๆ พร้อมกับส่งเสียงอันดังสนั่นชัดเจน ท่ามกลางความนิ่งสงบด้วยความยำเกรงองค์ผู้ประทับบนบัลลังก์ ปากก็ป่าวร้องว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ แด่องค์จอมราชา ราชาเหนือราชาผู้ประทับบนบัลลังก์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์”…
ทุกครั้งที่ทูตสวรรค์ 2 ตนนี้ร้องเช่นนี้ ทุกคนต่างยำเกรงมากยิ่งๆ ขึ้น (ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นจากอากัปกริยาของพวกเขา) บรรยากาศก็ยิ่งเต็มไปด้วยพระสิริหนาแน่นขึ้นอีก ปกคลุมเหนือทุกอณูพื้นที่ เสมือนว่าเสียงเพลงบรรเลงดังอยู่ไกลๆ แต่กลับชัดเจนจนทุกคนนิ่งสงบ ประหนึ่งว่ากำลังนมัสการร่วมกันไป …ภายในจิตใจของข้าพเจ้าเองรู้อยู่ว่าทูตสวรรค์ทั้ง 2 นี้ต้องเป็นเครูบและเสราฟิมอย่างแน่นอน (เพราะข้าพเจ้าเคยพบทั้ง 2 มาหลายครั้งแล้ว) เมื่อดูจากลักษณะที่เขาแสดงออกมา
ข้าพเจ้ามองกลับมาที่หมู่คนชุดขาวอีกครั้ง มองดูรวมๆ แล้วเหมือนว่าพวกเขากำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่เมื่อมองเจาะลงไปในรายละเอียด พวกเขาต่างมีรายละเอียดที่โดดเด่นต่างกันออกไป และข้างๆ คนชุดขาวแต่ละคนจะมีทูตสวรรค์ของตนยืนอยู่รอบๆ บางคนมี 1 ตน บางคนมีมากกว่า 1 บางคนมีมากมาย…
…บนสวรรค์สิ่งหนึ่งจะทำงานอย่างเต็มขนาดคือจิตสำนึก เมื่อทุกเท้าที่ก้าวเข้าสู่สวรรค์ การรายงานตนต่อหน้าองค์ผู้ตัดสิน ไม่ใช่ตามที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาเลย ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่า การรายงานต่อหน้าบัลลังก์คือการกล่าวทีละคน เรียงแถวกันตามลำดับตำแหน่ง บ้างก็ว่าจะมีโปรเจคเตอร์ตัวใหญ่ที่ทุกคนจะเห็นได้ในคราวเดียวกันเพื่อฉายทุกสิ่งอย่างที่ได้ทำบนโลก…
แต่ขณะนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นในขณะที่เท้ายืนอยู่บนสวรรค์ คือ ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ ด้วยจิตสำนึกที่พระเจ้าใส่ให้กับมนุษย์พร้อมกับการทรงสร้างอันแสนวิเศษตั้งแต่แรกเริ่มนั่นแหละที่เป็นตัวรายงานทุกอย่างในชีวิตของเราต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าบัลลังก์ทุกคนต่างรู้ดีว่าตนเองจะได้รับอะไรบ้าง นั่นคือ บำเหน็จ จะได้รับมากน้อยเพียงใด เพราะทุกคนต่างรู้มาตรฐานของพระเจ้าอยู่แล้วโดยจิตสำนึกภายในของเรานั่นเองที่ทำงานและเรียบเรียงให้เราได้รู้ ณ นาทีที่ยืนต่อหน้าบัลลังก์นี้ มันทำงานโดยการชันสูตรและแจ้งให้เรารู้เลยว่าเราสมควรได้รับบำเหน็จเพียงใด สง่าราศีขนาดไหน และมันยังรายงานด้วยว่าเพราะอะไรเราจึงไม่ได้รับหรือได้รับขนาดนี้ โดยที่แต่ละคนก็ไม่สามารถปฏิเสธหรือแม้แต่จะมีข้อโต้แย้งใดๆได้เลยเพราะรู้อยู่แก่ใจ และเห็นถึงความยุติธรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เอ่ยสิ่งใดๆ สักคำที่เป็นการสอบถามหรือบังคับให้รายงานตัวต่อพระองค์ เพราะจิตสำนึกของแต่ละคนนั้นได้รายงานเป็นที่เรียบร้อย เป็นการเห็นพ้องต้องกันทั้งจิตสำนึกภายในของแต่ละคนกับองค์พระผู้เป็นเจ้า รวมถึงผู้นั้นด้วยว่ามันสมควรเป็นเช่นนั้นแหละ ไม่เพียงเท่านั้นบรรดาทูตสวรรค์ของแต่ละคนก็ร่วมรายงานด้วยเช่นกันว่าพวกเขาได้ช่วยเหลือและปรนนิบัติ (รวมถึงปกป้อง ตักเตือน คุ้มกัน) บรรดาคนชุดขาวอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง อีกทั้งทูตสวรรค์เหล่านี้ยังรายงานในส่วนของตนด้วยว่าเขาได้ทำเพื่อคนชุดขาวเพียงใด
บางคนดีใจและภาคภูมิใจ น้ำตาทุกหยดถูกเปลี่ยนเป็นกำไรและความยินดี ความอุตสาหะใดๆ ก็ไม่มีคำว่าสูญเปล่า แต่มีคนชุดขาวบางคนก็ได้แต่อาย เสียดาย ด้วยเหตุที่วันนั้นบนโลกนั่นเอง พวกเขาได้แต่อุทานภายในและถึงบางอ้อด้วยความเข้าใจอย่างที่สุด แต่ก็ทำอะไรหรือกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว ครั้นจะเสียใจก็ไม่ได้ เพราะพระบารมีความบริสุทธิ์ ความงดงามขององค์พระเจ้าทำให้ไม่มีเวลาที่จะเสียใจหรือคร่ำครวญ ได้แต่ยอมรับว่าได้เท่านี้ คนเหล่านี้ไม่กล้าจะมองไปที่คนอื่นเพราะเกรงว่าจะเปรียบเทียบ เขาได้แต่พุ่งสายตาไปที่บัลลังก์ที่พระเจ้าทรงประทับอยู่หรือไม่ก็ก้มหน้าเท่านั้นเอง
ในขณะนั้นเอง องค์ผู้ประทับบนบัลลังก์ ก็ได้ตรัสขึ้นกับข้าพเจ้าว่า…
“เจ้าเข้าใจในทุกสิ่งที่เห็นหรือไม่”
“ยังค่ะ” ข้าพเจ้าตอบ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกๆ ที่ข้าพเจ้าได้เห็นเช่นนี้
พระองค์จึงตรัสถึงสิ่งที่ข้าพเจ้ายังไม่เข้าใจดังนี้ว่า “บนโลก ..มนุษย์แต่ละคนจะมีทูตสวรรค์อย่างน้อยคนละ 1 ตนเพื่อดูแลและช่วยเหลือ รวมถึงปกป้องจากสิ่งที่ชั่วร้ายและจะพรากชีวิตไปจากพวกเขา คอยเตือนไม่ให้ทำสิ่งที่ผิดพลาด …คนที่มีทูตสวรรค์มากเพราะเขาต้องทำงานรับใช้เราบนโลกมากด้าน ยิ่งมากด้านหลายด้านมากเท่าไรก็ยิ่งมีทูตสวรรค์คอยช่วยมากเท่านั้น อีกทั้งการรักษาชีวิตเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ทูตเหล่านี้อยู่ร่วมด้วย ดังนั้นการที่มนุษย์ใช้ทูตสวรรค์ไม่คุ้มหรือแม้แต่ทำให้ทูตสวรรค์อยู่ด้วยไม่ได้ ทำงานร่วมด้วยไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้ทูตสวรรค์เหล่านี้กล่าวรายงานถึงมนุษย์ที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ ซึ่งตัวเหล่าทูตสวรรค์เองก็ต้องรายงานส่วนของตนด้วยว่าดูแลและปรนนิบัติบุตรมนุษย์อย่างดีแล้วหรือยัง”
พระองค์ทรงตรัสเสริม “ในเรื่องจิตสำนึกนั้นเราได้ใส่ไว้ภายในมนุษย์ตั้งแต่เริ่มการทรงสร้างอยู่แล้ว ดังนั้นจิตสำนึกจึงรับรู้ทุกเรื่องราวความเป็นไปในตัวมนุษย์ของแต่ละคนเป็นอย่างดี เราใส่ไว้เพื่อให้พระลักษณะของเราอยู่ในมนุษย์ แม้คนที่ไม่เชื่อก็ยังมีมโนธรรมลึกๆ เพราะจิตสำนึกพยายามทำงานว่าพระลักษณะของเราเป็นเช่นไร ซึ่งหลายคนก็ปฏิเสธจิตสำนึกนั้น ดังนั้นจิตสำนึกจึงทำงานไม่ได้ แต่เมื่อก้าวเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์จิตสำนึกจะถูกเรียกให้ทำงานอย่างเต็มขนาดตามที่เราใส่ไว้แต่เดิม เพื่อรายงานและร่วมด้วยกับตัวของมนุษย์แต่ละคนเอง เหตุนี้มนุษย์จึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจและจิตสำนึกทำงานอยู่ฝ่ายเรา”
เมื่อถึงตรงนี้ข้าพเจ้าได้เข้าใจในเรื่องของการรายงานต่อหน้าบัลลังก์แล้วว่าเป็นอย่างไร ทูตสวรรค์และจิตสำนึกทำงานอย่างไร
171112