“ต่อแต่นี้จงลุกขึ้นเดินและก้าวไปข้างหน้า หลังจากได้พักแล้ว (3 อาทิตย์นับจากการเยี่ยมเยียนของพระเจ้า) บัดนี้ถึงเวลาออกมาแล้ว เราจะนำเจ้าออกมาเอง จงก้าวออกมาเถิด เพราะบัดนี้เป็นเวลาที่เราจะทำในเจ้าต่อไปแล้ว” พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างชัดเจน
ข้าพเจ้าถามพระองค์ว่า “จะให้ข้าพระองค์ไปอย่างไร อย่างอับราฮัมหรือ? ที่ก้าวทันทีที่พระองค์ทรงเรียกโดยที่ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเป็นอย่างไร? หรือจะให้ก้าวแบบไหนคะ?”
พระเจ้าทรงตรัสตอบว่า “เราจะนำเจ้าออกมาเอง เจ้าต้องเดินตามเรามา”
ในขณะนั้นเองพระเยซูทรงปรากฏต่อข้าพเจ้าเป็นนิมิตที่เห็นกับตา…
พระเยซูทรงเรียกขณะที่ข้าพเจ้านั่งคุกเข่าอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ทรงยื่นมือมาแตะที่ไหล่ขวาด้านหลัง แล้วทรงตรัสว่า “ลูกเอ๋ยลุกขึ้นเถิด ไปกับเรา และตามเรามา” ทรงมองด้วยความอ่อนโยนและยิ้มให้ด้วยความอบอุ่นอย่างเคย พร้อมพยักหน้าเมื่อทรงตรัสเสร็จ แล้วก็ทรงเดินนำหน้าไป
ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นทันทีเดินตามพระองค์ไป และเร่งฝีเท้าให้ทันพระองค์พร้อมทั้งยื่นมือของตัวเองออกไปจับพระหัตถ์พระเยซูเสมือนเด็กน้อยที่กำลังวิ่งตามให้ทันพ่อ ภายในของข้าพเจ้าทั้งตื่นเต้นและกลัวจะพลาดไปจากพระองค์ มือของข้าพเจ้าจับมือพระองค์ไว้แน่น พยายามเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดิน เพื่อที่จะก้าวให้ทันพระเยซู ในขณะที่ทรงก้าวอย่างช้าๆ สบายๆ … เราทั้ง 2 กำลังเดินมุ่งไปข้างหน้า … ทรงทอดพระเนตรมองดูข้าพเจ้าเดินและตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า” ทรงยิ้มให้ด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างเป็นมิตรตลอดเวลา ข้าพเจ้ารู้สึกคุ้นเคยและสบายใจยิ่งนัก
ข้าพเจ้ารู้ว่า… ทรงรู้ในทุกความคิด ภายในของข้าพเจ้าจริงๆ เป็นความมั่นใจมากยิ่งขึ้นที่จะก้าวต่อไป
เมื่อมองไปที่เบื้องหน้าก็เห็นประตูบานใหญ่มหึมา สีขาวเป็นปูนทึบ สูงกว่าตัวข้าพเจ้าหลายเท่าประมาณ 3-4 เท่า ด้านกว้างสุดสายตา คิดในใจว่า...”ใครจะเปิดประตูนี้ไหว?”
แผ่นดินสวรรค์
### เมื่อเราทั้ง 2 มาถึงเบื้องหน้าประตูนี้ ….
พระเยซูทรงหยุดที่หน้าประตู ทันใดนั้นประตูบานนี้ได้เปิดออกด้วยการเลื่อนขึ้น ข้าพเจ้ามองตามประตูที่เปิดออกอย่างอัศจรรย์ใจ ในขณะที่มือไม่ยอมปล่อยออกจากพระหัตถ์ของพระเยซู แล้วพระเยซูก็ทรงก้าวเข้าไปข้างในพร้อมกับข้าพเจ้า…
ทันทีที่ก้าวเข้ามาด้านในของประตู … ประตูใหญ่นั้นก็เลื่อนปิดลง ตอนนั้นมีทูตสวรรค์มาแยกข้าพเจ้าออกจากพระเยซู มือของข้าพเจ้าหลุดจากพระองค์เมื่อไรก็ไม่รู้ …
ทูตสวรรค์ 4 ตนกำลังช่วยกันเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเพียงแค่ยืนเฉยๆ ให้ทูตสวรรค์ทำ… แต่สายตาข้าพเจ้าจับจ้องไปที่พระเยซูที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตาหรือละสายตาไปจากพระองค์เลยแม้แต่น้อย เนื่องจากทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะแลดูเหมือนค่อยเป็นค่อยไปก็ตามที (ปกติจะมีบางครั้งที่การเข้าสวรรค์ต้องมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นนี้ ซึ่งที่ผ่านมาข้าพเจ้าจะตื่นเต้นและสนใจอยู่กับการทำงานของทูตสวรรค์ ก่อนพบพระเยซู) แต่ในครั้งนี้ข้าพเจ้าจับจ้องที่พระเยซูเท่านั้น เพราะจิตวิญญาณภายในบ่งบอกตลอดเวลาว่า “ต้องมีพระเยซูเท่านั้น จึงจะผ่านไปได้”
ข้าพเจ้ามองเห็นทูตสวรรค์ (ด้วยหางตา) เพียง 4 ตนเท่านั้นที่อยู่รอบตัวและง่วนอยู่กับการเปลี่ยนชุดให้ข้าพเจ้า แต่ภายในใจบอกว่ามี 6 ตน จึงเงยหน้ามองด้านบนก็พบอีก 2 ตนกำลังบินวนไปมาเสมือนว่าคอยปกป้องหรือรักษาการณ์อย่างไรอย่างนั้น… เมื่อการเปลี่ยนชุดเสร็จสิ้น (ลักษณะชุดเป็นสีทองเปล่งประกายสีขาว) พระเยซูก็เดินมาใกล้จับมือข้าพเจ้า แล้วพาเดินต่อไป …
สวรรค์ : จงก้าวต่อไป
และแล้วจู่ๆ เราทั้ง 2 ก็มายืนอยู่ตรงจุดที่เป็นเหมือนยอดผาที่มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอที่จะทำอะไรต่อมิอะไรได้สบายๆ รอบๆ ด้านเป็นเหมือนหินก้อนโตที่ยกตัวสูงขึ้น คล้ายกับภูเขาแต่ไม่ใช่ภูเขา มันถูกแยกออกจากพื้นแผ่นดิน คือเป็นหุบเหวโดยรอบๆ โดยมองออกไปไกลสุดสายตาเป็นแผ่นดิน และไม่มีทางเชื่อมใดๆ ไม่มีสะพาน ไม่มีทางที่จะมาถึงจุดตรงนี้ได้เลย
ถึงตรงนี้ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่า จุดที่มายืนอยู่เป็นจุดที่พระเยซูเท่านั้นที่พามาได้ ไม่มีเส้นทางใดๆ หรือหนทางใดๆ ที่จะทำให้มาที่นี่ได้ อีกทั้งเป็นการตัดขาดจากหนทางการช่วยเหลือทางโลก ไม่มีเส้นทาง ไม่มีสะพาน ไม่มีวิธีการใดๆ ไม่มีแม้ใครที่จะยืนอยู่ด้วย ณ ตรงนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าทางเดียวเท่านั้นคือทางพระเยซู ผู้เดียวเท่านั้นที่จะทรงอยู่เคียงข้างคือพระเยซู และไม่มีใครมาถึงจุดที่ยืนได้ เพราะเป็นจุดที่พระเจ้าเลือกและเรียกแต่ลำพังกับพระองค์เท่านั้น…
สิ่งที่รู้สึกภายในมาตลอดการเดินทางครั้งนี้คือ ข้างหน้าจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ใหญ่หลวงแน่นอน เป็นเหตุให้ไม่กล้าแม้แต่จะละสายตาจากพระเยซู เพื่อที่จะมองรอบๆ ตัวมากนัก นอกจากกวาดสายตาอย่างรวดเร็วเพียงแค่ให้รู้… >> และ ณ เวลานี้ทุกสิ่งที่ปรากฏทำให้เบาและเข้าใจขึ้นมาก เพราะความมั่นใจเข้าแทนที่ด้วยว่าองค์พระเยซูยังคงอยู่เคียงข้างข้าพเจ้า เป็นสถานที่ๆ ยืนอยู่กับพระองค์เพียงลำพัง ความผ่อนคลายเริ่มเข้าแทนที่ การสงบและนิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ใช้เวลากับพระเยซูอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีทูตสวรรค์ทั้ง 4 (ที่เปลี่ยนชุดให้ข้าพเจ้า) ยืนอยู่บนขอบผืนแผ่นดิน หันหลังให้ข้าพเจ้ากับพระเยซู ส่วนทูตสวรรค์อีก 2 ตน บินไปมารอบๆ เพื่อปกป้องและดูแล …
ไม่นานนักข้าพเจ้าก็เห็นภาพแทรกขึ้นมา เป็นภาพของมือที่ชูขึ้นจากเบื้องล่างพยายามไขว่คว้ามาที่พระเยซู แต่มือเหล่านั้นพยายามอย่างสุดเอื้อมก็มาไม่ถึง และอีกฟากของผืนแผ่นดินก็มีมือจำนวนมากที่อยู่ไกลลิบตา ทำเช่นเดียวกันคือ พยายามเอื้อมแขนอย่างสุดตัว เพื่อที่จะคว้าและควานหาพระเยซู จิตใจภายในของข้าพเจ้ารู้สึกสงสารพวกเขาเหลือเกิน ในขณะที่ข้าพเจ้าเองได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์ถึงปานนี้ แต่ยังคงอยากและปรารถนาให้ใกล้มากและมากยิ่งขึ้นอีก อยากได้พระองค์มากขึ้นอีกๆ … แต่คนเหล่านั้นกลับเอื้อมไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ
พระเยซูทรงตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ลูกเอ๋ย… จงทำให้มือเหล่านั้นที่พยายามไขว่คว้าหาเรา แปรเปลี่ยนเป็นมือที่สรรเสริญและถวายเกียรติเราเถิด”
ในตอนนั้นข้าพเจ้าได้แต่เพียงคิดว่า “จะทำได้อย่างไรกัน??” แต่ภายในก็สัมผัสและรับรู้ถึงพระทัยของพระเยซูได้เลยว่าพระองค์ทรงปรารถนาให้คนเหล่านี้ได้ใกล้ชิดพระองค์ แต่พวกเขากลับเข้ามาใกล้ไม่ได้ เพราะการยอมจำนนและการจ่ายราคาเป็นเรื่องที่พวกเขามาไม่ถึง มีหลายต่อหลายสิ่งที่คนมากมายปรารถนาจะได้รับจากพระเยซู แต่พวกเขาไม่คิดที่จะจ่ายราคาออก ปล้ำสู้ หรือยอมจำนน ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาไขว่คว้าจึงดูสุดปลายแขน แม้จะเอื้อมอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าใกล้ไปได้มากกว่านี้
พระเยซูทรงตรัสว่า “จงให้ผู้ที่หิวได้ดื่มกิน อย่างที่เจ้าได้รับจากเราเถิด จงเทน้ำไหลจากเราผ่านมือเจ้าออกไปยังปากของผู้ที่กระหายจะดื่มกินเถิด” เมื่อทรงตรัสเสร็จสิ้นประตูใหญ่ด้านหน้าก็เปิดออกและพาตัวข้าพเจ้าออกมาด้านนอกโดยไม่ทันตั้งตัว
13/09/2013 20:18