ณ หาดทรายขาวละมุนแสงแดดดูเหมือนเป็นใจให้เคลิบเคลิ้ม อยากจะแผ่กายนี้ลงบนผืนทรายเสียเหลือเกิน มันดูสะอาดสะอ้าน เม็ดทรายที่ขาวละเอียดจนสัมผัสถึงความนุ่มที่ฝ่าเท้า ไม่หยาบกร้านเหมือนเช่นเคยไปทะเลที่ใดๆ มา สุดสายตามองไม่เห็นเส้นตัดขอบน้ำและขอบฟ้า เสมือนว่าจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันก็ไม่ปาน ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ แช่ตัวเองเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศรอบๆ ตัว
ข้าพเจ้าหยุดเดิน… เบื้องหน้าถัดเข้าไปในทะเลไม่ลึกสักเท่าไร มีเรือลำหนึ่งจอดอยู่ …
ลักษณะเรือ เป็นเรือลำเล็กๆ สีขาวสวยงาม ขนาดพอนั่งได้ 2-3 คนสบายๆ ไม่มีเครื่องยนต์ใดๆ ข้าพเจ้านึกเอะใจอยู่ครู่หนึ่ง ว่า…. นี่คือเรือใครหนอ มาจอดตรงนี้ เพราะเมื่อมองไปทั่วบริเวณ ที่นี่มีแต่ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง แสงแดดที่อ่อนละมุน ลมบางๆ ที่พัดมาปะทะหน้าเอื่อยๆ แผ่นน้ำและผืนทรายสุดลูกหูลูกตา สงบเงียบ ไม่น่าจะมีใครอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้เลย เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศโดยรอบแล้ว ข้าพเจ้ารู้ดีแก่ใจและรู้ตัวด้วยว่า นี่คือ การได้เข้ามาในนิมิตที่พระเจ้าให้แก่ข้าพเจ้า … ข้าพเจ้าจึงไม่ช้าอยู่ที่จะหยิบฉวยและดื่มด่ำอย่างเต็มที่ ด้วยอิสรภาพและเสรีภาพที่ได้รับ
แต่ในขณะที่กำลังมีความสุขอย่างที่สุด เสมือนว่าได้ครอบครองที่นี่แต่ผู้เดียว ทุกสิ่งต้องชะงัก เมื่อหูของข้าพเจ้าได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
“จงขึ้นเรือมากับเรา” นั่นคือเสียงตรัสของพระองค์ที่ข้าพเจ้ารู้จักเป็นอย่างดี พระเยซูเจ้านั่นเอง ข้าพเจ้าหันมองซ้ายขวาว่าทรงอยู่ที่ไหน เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง “จงขึ้นเรือมากับเรา” บัดนี้พระองค์ได้ประทับนั่งอยู่บนเรือนั้นแล้ว
ฉัน : “จะเดินไปอย่างไงคะ มันลึกไหม แล้วชุดก็จะเปียกด้วย”
พระเยซู : “มาเถิด เราจะเปลี่ยนชุดให้เจ้าเอง”
แล้วอยู่ๆ ข้าพเจ้าก็อยู่บนเรือกับพระองค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร และชุดก็ไม่เปียกด้วย เมื่อพินิจดูตัวเองเสร็จแล้วก็ตื่นเต้นเหลือเกินที่ได้อยู่บนเรือลำเดียวกับพระเยซู ข้าพเจ้ามีความสุขสนุกและตื่นเต้นที่เรือได้ล่องไปตามสายน้ำด้วยความเร็วคงเส้นคงวา ไม่มีใครพายเรือ ไม่มีเครื่องยนต์ แต่เรือกลับแล่นไปได้ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าน่าจะมาจากแรงลมที่พัดมา แต่ก็ไม่ทำให้สงสัยหรืออยากรู้เท่ากับการอยากรู้ว่าเรากำลังจะไปไหน
พระเยซู : “แผ่นดินของพระเจ้า” ทรงตรัสในขณะที่ยังไม่ทันถาม
ฉัน : “ที่ไหนหรอคะ เป็นอย่างไงหรอคะ” ความอยากรู้เกิดขึ้น พร้อมๆ กับท่าทางที่ตื่นเต้น ไม่อยู่สุขกับการสอดส่ายสายตาไปทั่ว เอามือเล่นน้ำเป็นพักๆ จนลืมตัวว่าตัวเองกลัวน้ำเพราะว่ายน้ำไม่เป็น มันเป็นความรู้สึกปลอดภัยในทุกครั้งที่ได้อยู่ต่อหน้าพระองค์จนไม่รู้สึกถึงขีดความสามารถที่จำกัดในความเป็นตนเองเลย
พระเยซูทรงยิ้มให้ และไม่ทรงตรัสสิ่งใดเลย เวลาผ่านไปเพียงอึดใจเดียว จนรู้สึกว่ายังไม่พอเลยกับการได้สัมผัสบรรยากาศเช่นนี้บนผืนน้ำ ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่ามาถึงแล้ว เพราะจู่ๆ ข้าพเจ้าก็ได้มายืนอยู่ที่แห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่แห่งนี้เป็นเหมือนห้องๆ หนึ่งที่มองไม่เห็นขอบของกำแพงและเพดานเลย ดังหมอกบางๆปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณนี้ ไม่รู้ว่ามันกว้างแค่ไหน เพราะมองอะไรไม่ถนัดนอกจากระยะใกล้ๆ ตัว ขณะนั้นมีทูตสวรรค์อยู่ 4 ตนช่วยกันเปลี่ยนชุดให้ข้าพเจ้า ในขณะที่ยังงุนงงอยู่ แต่ก็อยากรู้อยากเห็นกับรอบตัว อย่างที่ไม่อยากเสียไปเลยสักเสี้ยววินาที นึกสงสัยว่าทำไมต้องทำอะไรกับร่างกายข้าพเจ้าขนาดนี้ ทูตสวรรค์ตนหนึ่งตอบทั้งที่ไม่ละมือในการทำโน่นนี่กับร่างกายข้าพเจ้า “เพราะว่าไม่มีสักชุดบนโลกที่เข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้าได้”… พวกเขาทำความสะอาดร่างกายให้ และพยายามถอดเสื้อผ้าที่แค่เพียงเขาแตะทั้งเสื้อผ้า คราบไคลก็หลุดจากตัวอย่างง่ายดาย ข้าพเจ้าพยายามมองหาพระเยซูในขณะที่ทูตสวรรค์เหล่านั้นดูง่วนกับร่างกายข้าพเจ้าเสียเหลือเกิน แต่กลับมองหาพระองค์ไม่เจอเลย เพียงแค่เสี้ยวนาทีทุกสิ่งก็เสร็จเรียบร้อย
ชุดของข้าพเจ้าเป็นสีขาวนวลสว่างไสวในตัวมันเอง ….โอ้ววว…. ไม่เพียงความขาวที่ไม่เคยเห็นและไม่เคยคิดว่าจะมีชุดที่ขาวได้ขนาดนี้เลย กลับมีความสว่างออกมาจากชุดได้อีก อย่างกับว่าติดไฟนีออนสีขาวนวลไว้ที่เสื้อผ้าอย่างไงอย่างงั้น ชุดนี้ยาวปกคลุมกายของข้าพเจ้าทั้งหมด ทั้งมือและเท้า เห็นเพียงใบหน้าและลำคอเท่านั้นที่ไม่มีเสื้อผ้าปกคลุม มันยาว แต่ไม่รุ่มร่าม ไม่มีผลต่อการก้าวเดินเลย ต่างกับชุดที่เคยใส่ในโลกที่เมื่อชุดยาวรุ่มร่ามจะเดินลำบากมาก แต่นี่กลับขยับตัวง่ายและคล่องมาก เหมือนร่างกายเบาไปหมด ในขณะที่กำลังตื่นเต้นและรู้สึกถึงความสวยงามกับชุดที่อยู่บนเรือนร่างตัวเอง ข้าพเจ้าก็ได้มายืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่พาตะลึงกว่าชุดบนร่างกายเสียอีก
ข้าพเจ้าถึงกับต้องแหงนหน้ามอง ประตูบานใหญ่สูงสุดลูกหูลูกตาลวดลายเรียบง่ายแต่ละเอียดอย่าง วิจิตรบรรจง สีทองระยิบระยับ ลองยื่นมือจับดู แม้ดูไม่เป็น คิดเอาว่าน่าจะเป็นทองคำแท้ๆ มากกว่าสีทองเสียอีก ด้วยความใหญ่ของประตูด้ามจับจึงอยู่สูงมากเลยศรีษะไปอีกหลายช่วงตัว ประตูบานนี้เปิดแง้มอยู่ ตัวข้าพเจ้าเล็กอย่างกับเด็กน้อยตัวจ้อยเพิ่งหัดเดินเมื่อเทียบกับความใหญ่โตของประตูบานนี้ กลัวๆกล้าๆ ชะโงกหน้าเข้าไปภายในประตูผ่านช่องที่แง้มออก ซึ่งกว้างพอที่จะเดินเข้าไปได้อย่างสบายๆ มองซ้ายขวาไม่มีใครเลย ไม่ช้าอยู่ที่จะก้าวเข้าไปเสมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างอยู่ภายในนั้น
เมื่อก้าวพ้นประตูนั้นเข้ามา …. ถัดเข้ามาได้เพียงไม่กี่ก้าว ประตูใหญ่บานนั้นก็ปิดลง เหลือลำพังแต่ข้าพเจ้าในห้องนี้ ความกลัวไม่หลงเหลือเลยสักนิดด้วยว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำเอาหัวใจพองโต จนกระทั่งความสง่าผ่าเผยในแต่ละก้าวที่เดินออกไปเบียดความรู้สึกไม่กล้าออกไปจนหมดสิ้น
ที่นี่เป็นห้องที่ใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน ประตูบานนั้นที่ว่าใหญ่กลับเล็กเป็นมดเมื่อเทียบกับขนาดของห้องนี้ ผนังกำแพงทั้งซ้ายขวาเป็นทองคำทั้งหมด ต่างเปล่งแสงระยิบระยับดั่งเพชรที่สะท้อนออกมา พื้นที่เท้ากำลังเหยียบสัมผัสอยู่ (เนื่องจากการเปลี่ยนชุด ไม่มีเครื่องประดับอันใดเลยมีเพียงชุดเท่านั้น ไม่มีแม้แต่รองเท้า) ด้วยเท้าเปล่าสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่าเท้าเหมือนแช่อยู่ในน้ำอุ่นจางๆ และนุ่มนวลอย่างกับเดินบนนุ่น
บนพื้นตลอดทางเป็นสีทองเงาที่สะท้อนขึ้นมาอย่างกับใครเอากระจกสีทองมาปูเป็นกระเบื้อง ก้มหน้ามองเห็นเงาตัวเองอย่างกับส่องกระจกได้ด้วย ., เพดานด้านบนเป็นลักษณะเดียวกันกับพื้น แต่ที่พิเศษคือเหมือนมีกลุ่มเมฆ หมอกบางๆ จางๆ เคลื่อนอยู่ใต้เพดาน ., ตลอดทางเดิน มีเสาต้นใหญ่อยู่ 2 ข้างเป็นระยะๆ (ข้าพจ้าเดินตรงกลางทางเดิน) เสาต้นใหญ่มาก สูงสุดขอบเพดานซึ่งสูงประมาณตึก 3 ชั้น ความกว้างของเสาคงต้องใช้คนโอบนับสิบคน เสาทุกต้นถูกประดับด้วยเพชรพลอยหลากสี เม็ดโตกว่ากำปั้นเสียอีก ด้วยความอยากรู้ จึงลองจับๆ สัมผัสทุกอย่าง …. ความงดงามช่างเกินบรรยาย บรรยากาศทั้งห้องนี้เต็มไปด้วยความระยิบระยับ สีทองของผนัง เพดาน พื้น กับเพชรพลอยของเสาสะท้อนกันและกันเหมือนเป็นมีรุ้งอยู่กลางอากาศเต็มไปหมด ไม่มีอะไรเด่นกว่าอะไร ไม่มีอะไรด้อยกว่าอะไร เพราะทุกสิ่งล้วนโดดเด่น สวยงามจนไม่อยากจะก้าวไปไหนเลย แต่เท้าก็หยุดที่จะก้าวเดินต่อไปไม่ได้ ความตะลึงและเพลิดเพลินกับสิ่งที่ได้เห็น ได้สัมผัส ข้าพเจ้าเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งเหล่านี้เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่พาให้ทุกสิ่งที่เห็นมาเป็นเพียงแค่องค์ประกอบ นั่นคือ… บัลลังก์องค์พระผู้เป็นเจ้า
บัดนี้ข้าพเจ้าทรุดตัวลงที่หน้าบัลลังก์นี้ ก้มหน้าลงถึงพื้นไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ด้วยว่าพระองค์ผู้ประทับบนบัลลังก์นั้น กรอกตามองด้วยหางตาเห็นเพียงพระบาทที่งดงามกว่าที่สิ่งที่เห็นมาเมื่อสักครู่เสียอีก ความรู้สึกตื่นเต้นเปลี่ยนเป็นความยำเกรงและเกรงกลัวอย่างทันที ตัวสั่นเล็กน้อยด้วยเกรงว่าจะมีสิ่งใดที่สกปรกติดตัวมาหรือเปล่า… (ถึงนาทีนี้จึงเข้าใจว่าทำไมทูตสวรรค์จึงต้องชำระและช่วยเปลี่ยนชุดให้ข้าพเจ้า)
เสียงตรัสดังขึ้น “เจ้ากลัวเราหรือ” เสียงนี้ทำให้หลินผ่อนคลายความเกร็งลงอย่างปริดทิ้ง เพราะเป็นเสียงที่แสนอบอุ่นที่คุ้นเคย และมั่นใจว่าปลอดภัยนั่นคือเสียงของพระเยซู แต่ถึงกระนั้นหลินก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอยู่ดี ไม่กล้าตอบอะไรพระองค์ด้วยเกรงว่าจะพูดอะไรผิดออกไป
พระเยซูทรงประทับอยู่ข้างๆ ตัวข้าพเจ้าตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ โอบกอด และกระซิบข้างหูว่า ” เราอยู่กับเจ้าที่นี่” ข้าพเจ้าหันหน้ามาด้านซ้าย หันหาพระเยซูในลักษณะก้มศรีษะอยู่มาหาพระองค์ ทั้งดีใจ ทั้งอุ่นใจเสียเหลือเกิน อย่างกับว่าน้ำตาจะคลอเบ้าแต่ก็ไม่มีน้ำตา เป็นความรู้สึกตื้นตันอย่างที่สุดอยากจะโผลเข้าหาพระองค์ แต่ก็ขยับตัวไม่ได้เลย พระเยซูทรงกอดอย่างประคองไหล่ไว้ แล้วตรัสว่า “อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้าที่นี่ด้วย”
ฉัน : “ทำไมพระองค์อยู่ตรงนี้” ข้าพเจ้ารู้ภายในใจว่ามีผู้ที่ยังประทับอยู่บนบัลลังก์ในขณะนี้ แต่ทำไมพระเยซูจึงอยู่ข้างตัวข้าพเจ้า
พระเยซูทรงยิ้มด้วยความเป็นมิตรและรู้ความในใจของข้าพเจ้าอย่างถ่องแท้ตรัสว่า “พระบิดาผู้ทรงประทับบนบัลลังก์”
ข้าพเจ้าตัวสั่นระริกอีกครั้งด้วยพยายามคิดว่าตัวเองได้ทำอะไรไม่ดีบ้างหรือเปล่า ทั้งดีใจที่ได้อยู่ตรงนี้ ทั้งกลัว ทั้งยำเกรง ทั้งไม่กล้า สารพัดความรู้สึกประดังเข้ามา พระเยซูยังไม่ละพระหัตถ์ของพระองค์ออกจากตัวข้าพเจ้า ตรัสว่า “สงบไว้ ลูกเอ๋ย เพราะบิดารักเจ้ายิ่งเสียกว่าเราอีก รักของเราเป็นของพระบิดา และพระองค์ทรงรอเจ้าอยู่”
ข้าพเจ้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดูพระพักต์พระองค์ผู้ทรงประทับบนบัลลังก์ แสงจากบัลลังก์นั้นแสบตาดั่งจ้องมองดวงอาทิตย์ …. ข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัว และแล้วก็กลับมาอยู่ที่บนเรือกับพระเยซูดั่งเดิม ด้วยความตกใจและครุ่นคิดว่าทำผิดอะไรหรือเปล่าจึงเป็นเช่นนี้
พระเยซูทรงรู้จิตใจภายในทรงตรัสตอบ : “พระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์… เจ้าต้องรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น เราจะสอนเจ้า และเราจะนำเจ้ากลับมาที่นี่อีกครั้ง เพราะพระบิดาทรงเรียกเจ้า ที่เจ้าไม่สามารถ เพราะความบริสุทธิ์ของพระองค์ บัดนี้เจ้าได้เห็นแล้ว บัดนี้เจ้ารู้แล้วถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ ดังนั้นจงรักษาชีวิตเพื่อความบริสุทธิ์ เพราะเมื่อเจ้าต้องเข้าใกล้ความบริสุทธิ์เจ้าจึงต้องบริสุทธิ์มากขึ้น มิเช่นนั้นจะถูกผลักออกดังนี้”
บัดนี้ข้าพเจ้ายืนอยู่บนหาดทรายสีขาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงตรัสของพระเยซูดังขึ้นอีกครั้งในขณะที่ไม่ทรงปรากฏ ณ ตรงนี้แล้ว “จงแช่จนกว่าเจ้าจะอิ่ม จนกว่าเจ้าจะพอเถิด นี่เป็นเวลาของเจ้า”
*** การไปสวรรค์ครั้งนี้ เป็นการไปในสภาวะภวังค์
010510