กดว.11:4-35 นกคุ่ม
4คนที่ปะปนมากับเขาทั้งหลายเป็นพวกที่มีความอยากกินเป็นอย่างมาก และคนอิสราเอลก็ร้องไห้คร่ำครวญอีกด้วยว่า “ใครจะให้เนื้อเรากิน?
5เราคิดถึงปลาที่เราเคยกินโดยไม่ต้องซื้อในอียิปต์ อีกทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ หัวกระเทียม
6บัดนี้จิตใจของเราก็ห่อเหี่ยว เราไม่เห็นอะไรเลยนอกจากมานานี้”
7(มานานั้นเหมือนเมล็ดผักชี สีของมันเหมือนยางไม้ตะคร้ำ
8ประชาชนจะออกไปเก็บมาโม่ด้วยหินโม่หรือตำในครก และใส่หม้อต้มทำขนม รสของมานาเหมือนรสของขนมคลุกเคล้าด้วยน้ำมัน
9เมื่อน้ำค้างตกลงมาเหนือค่ายตอนกลางคืน มานาก็จะตกลงมากับน้ำค้างด้วย)
10เมื่อโมเสสได้ยินประชาชนร้องไห้กันไปทั่วตระกูลต่างๆ โดยแต่ละคนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน และพระยาห์เวห์กริ้วอย่างยิ่ง โมเสสก็ไม่พอใจด้วย
11โมเสสจึงกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์ลำบากเช่นนี้? ทำไมข้าพระองค์จึงไม่เป็นที่โปรดปรานต่อพระองค์? พระองค์จึงทรงวางภาระเรื่องประชาชนทั้งหมดนี้ลงบนข้าพระองค์
12ข้าพระองค์ตั้งครรภ์คนพวกนี้มาหรือ? ข้าพระองค์คลอดคนพวกนี้หรือ? พระองค์จึงตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘จงโอบอุ้มเขาทั้งหลายไว้ในอกของเจ้าเหมือนพี่เลี้ยงโอบอุ้มเด็กทารก และนำไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของเขา’
13ข้าพระองค์จะหาเนื้อจากไหนมาให้แก่คนทั้งหมดนี้? เพราะพวกเขาร้องไห้ต่อข้าพระองค์ว่า ‘ขอเนื้อให้เรากิน’
14ข้าพระองค์ไม่สามารถโอบอุ้มคนเหล่านี้แต่ลำพังเพราะเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับข้าพระองค์
15ถ้าพระองค์จะทรงทำต่อข้าพระองค์เช่นนี้ และถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปราน ก็ขอทรงประหารข้าพระองค์ทันทีเถิด ขออย่าให้ข้าพระองค์เห็นความทุกข์ยากของข้าพระองค์เลย”
ผู้ใหญ่เจ็ดสิบคน
16พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในอิสราเอลให้เราเจ็ดสิบคน เป็นคนที่เจ้ารู้ว่าเป็นผู้ใหญ่ของประชาชนและเป็นเจ้าหน้าที่ของเขาทั้งหลาย จงพาพวกเขามาที่เต็นท์นัดพบและให้ยืนอยู่พร้อมกับเจ้าที่นั่น
17เราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาจากวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนคนเหล่านั้นด้วย และให้เขาทั้งหลายแบกภาระของประชาชนเหล่านี้ร่วมกับเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องแบกคนเดียว
18และจงกล่าวกับประชาชนว่า ‘ให้พวกท่านชำระตัวให้บริสุทธิ์ในวันพรุ่งนี้ และท่านจะได้รับประทานเนื้อเพราะพวกท่านร้องไห้ต่อพระกรรณของพระยาห์เวห์ว่า “ใครจะทำให้เรามีเนื้อกิน? เมื่ออยู่ในอียิปต์เราก็สุขสบาย” เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์จะประทานเนื้อให้ท่านทั้งหลาย และพวกท่านจะได้รับประทาน
19ท่านจะได้รับประทานไม่ใช่แค่วันเดียว หรือสองวัน หรือห้าวัน หรือสิบวัน หรือยี่สิบวัน
20แต่หนึ่งเดือนเต็มๆ จนเนื้อล้นมาทางรูจมูกของพวกท่าน จนท่านเอือมระอา เพราะท่านทั้งหลายได้ทอดทิ้งพระยาห์เวห์ผู้ประทับท่ามกลางพวกท่าน และร้องไห้เฉพาะพระพักตร์พระองค์กล่าวว่า “ทำไมเราจึงออกมาจากอียิปต์?” ’ ”
21แต่โมเสสกราบทูลว่า “คนที่ข้าพระองค์อยู่ด้วยนั้นเป็นผู้ชายหกแสนคน และพระองค์ตรัสว่า ‘เราจะให้เขาทั้งหลายกินเนื้อจนครบหนึ่งเดือน’
22จะมีฝูงแพะแกะและฝูงโคเพียงพอที่จะฆ่าให้เขาทั้งหลายกินหรือ? หรือแม้จะรวบรวมปลาทั้งหมดในทะเลมา แล้วจะมีเพียงพอให้พวกเขากินหรือ?”
23พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์สั้นไปหรือ? บัดนี้เจ้าจะเห็นว่าคำของเราจะสำเร็จเพื่อเจ้าจริงหรือไม่”
24โมเสสก็ออกไปบอกประชาชน ถึงพระดำรัสของพระยาห์เวห์ และท่านรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในประชาชนเจ็ดสิบคน แล้วให้พวกเขามายืนรอบๆ เต็นท์
25และพระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส แล้วทรงเอาจากวิญญาณที่มีอยู่บนโมเสสใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้นด้วย เมื่อวิญญาณมาอยู่บนเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะ แต่ก็ไม่ได้ทำอีกเลย
26มีสองคนที่ยังอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนหนึ่งชื่อเมดาด และวิญญาณมาอยู่บนเขาทั้งสอง (เขาทั้งสองอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกจดชื่อไว้แต่ไม่ได้มาที่เต็นท์) และเขาทั้งสองก็เผยพระวจนะในค่าย
27มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังเผยพระวจนะอยู่ในค่าย”
28และโยชูวาบุตรนูนซึ่งเป็นผู้รับใช้ของโมเสสตั้ง แต่หนุ่มๆ กล่าวว่า “โมเสสเจ้านายของข้าพเจ้า โปรดห้ามเขาทั้งสองด้วย”
29แต่โมเสสบอกเขาว่า “ท่านเจ็บร้อนแทนข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้าอยากให้ประชาชนของพระยาห์เวห์เป็นผู้เผยพระวจนะทุกคน และข้าพเจ้าอยากให้พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณของพระองค์ไว้บนพวกเขา”
30โมเสสและพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลก็กลับไปที่ค่าย
ฝูงนกคุ่ม
31แล้วมีลมมาจากพระยาห์เวห์พัดพาฝูงนกคุ่มจากทะเลมาตกอยู่ที่ข้างค่ายโดยอยู่รอบๆ ทั้งค่าย อยู่ห่างออกไปจากค่ายเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน และอยู่สูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งเมตร
32วันนั้นประชาชนก็เที่ยวจับนกคุ่มกันทั้งวันทั้งคืน และตลอดวันถัดมาด้วย (คนที่จับได้น้อยที่สุดก็ได้ไม่ต่ำกว่าพันกิโลกรัม) แล้วเขาทั้งหลายก็เอามากางตากกันทั่วโดยอยู่รอบๆ ค่าย
33เมื่อเนื้อนกยังอยู่ระหว่างฟันของเขาทั้งหลาย ยังไม่ทันได้เคี้ยว พระยาห์เวห์ก็กริ้วประชาชนอย่างยิ่ง พระองค์ทรงประหารประชาชนด้วยภัยพิบัติร้ายแรง
34เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่าขิบโรทหัทธาอาวาห์ เพราะเขาฝังศพคนทั้งหลายที่อยากกินอาหารที่นั่น
35ประชาชนยกออกเดินจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ถึงฮาเซโรท และหยุดอยู่ที่ฮาเซโรท
ในขณะนั้นอิสราเอลได้รับอาหารประจำวันจากพระเจ้าเป็นมานาอยู่แล้วในทุกๆวัน แต่พวกเขากลับไม่พอใจจนกระทั่งทำผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงการดูแลอีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้น
บทเรียนในการเร่งเร้าเอาในสิ่งที่ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า
1. เหตุการณ์เรื่องนกคุ่มเกิดขึ้นโดยคนต่างชาติที่ไม่มีสิทธิอันใดในแผ่นดินหรือแผนการณ์ของพระเจ้าเลย เป็นผู้ก่อเหตุกระตุ้นเร้า ปลุกระดม แต่ประเด็นสำคัญคืออิสราเอลกลับเชื่อเป็นจริงจังและยังทำไม่ต่างจากคนต่างชาติหรือทำยิ่งเสียกว่าคนเหล่านั้นอีกด้วยซ้ำ เมื่อพระเจ้าจัดการพระองค์ไม่ได้สนใจคนต่างชาติหรือใครอื่น แต่ทรงสนใจว่าเราเป็นอย่างไรต่างหาก ทรงจัดการชำระเราต่างหาก หาใช่คนอื่นไม่!!!
2. เหตุที่อิสราเอลพลาดในเหตุการณ์นี้ เพราะคำของคนไม่เชื่อ
(4) แน่นอนว่าชนชาติขนาดใหญ่เคลื่อนตัว ย่อมมีผู้อยากติดตามออกมา เพราะได้เห็นพระพรของพระเจ้าที่มอบให้กับชนชาตินี้ในการทำหมายสำคัญ 10 ประการที่อียิปต์ อีกทั้งพระเจ้าก็ไม่ได้ห้ามคนต่างชาติติดตามพระองค์ด้วย แต่คนอิสราเอลกลับขาดความหนักแน่นมั่นคงในองค์พระเจ้าที่ช่วยกู้และทำพันธสัญญากับตน….. ต่างกับคนต่างชาติเหล่านั้น นอกจากเขาไม่เชื่อพระเจ้าแล้ว เขายังไม่รู้จักพระเจ้าอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น..แต่พระสัญญาต่างๆที่พระเจ้าตั้งไว้เพื่ออิสราเอล พวกเขาก็จะไม่ได้รับ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดกลับไปกลับมา หรือมองแบบธรรมดาโลกที่ตาเห็น พวกเขากล่าวถึงอาหารที่เคยกินในอียิปต์ โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย หรือเรียกว่ากินเปล่า (แน่นอนว่าเพราะนั่นคือดินแดนของเขาเอง ป้อมปราการแห่งความสุขสบายทั้งที่ไม่ต้องจ่ายราคาย่อมมีแน่) แต่สำหรับคนอิสราเอลการอยู่อียิปต์คือการตกเป็นทาสต่างหาก ดังนั้นจุดที่ยืนจึงต่างกัน แต่เนื่องจากอิสราเอลไม่ทันได้หวนระลึกถึงสภาพเหล่านั้น หมายรวมถึงพระพรจากภัยพิบัติ 10 ประการ , การแหวกทะเลแดง , การรอดจากผู้ไล่ฆ่า , การเลี้ยงชีพตลอดระยะเวลาเดินทางที่ผ่านมาด้วยมานา หรืออื่นๆเลย เพราะพวกเขามัวแต่อยากอันเนื่องจากเนื้อหนัง แท้จริงพวกเขาไม่แม้แต่จะหิวด้วยซ้ำ เพราะมานามีมากเพียงพอเท่าที่เราจะกินหมด มีมากในทุกวัน มีมากในทุกครั้งที่ออกไปเก็บด้วยซ้ำ นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ขาดเลย การเลี้ยงดูของพระเจ้าก็เช่นนี้แหละจะมากพอเท่าที่เราต้องกา, มากเท่าที่กระเพาะเรารับไหว และจะไม่ขาดเลย
แต่อิสราเอลกลับไม่มีความมั่นคงในพระเจ้าผู้ทำสิ่งดีสารพัดทั้งที่ตัวเองรับรู้จนเป็นประสบการณ์ของตัวเองเสียด้วยซ้ำ ด้วยคำพูดยั่วยุเพียงไม่กี่คำของคนไม่เชื่อและไร้ซึ่งสิทธิใดๆ กลับทำให้พวกเขาตีอกชกตัวพร่ำบ่นออกมา เหมือนดั่งคนไม่เชื่อ 》 แท้จริงก็ไม่แปลกหากคนไม่เชื่อเหล่านั้นจะบ่นเพราะพวกเขาไม่มีทาง ไม่มีพระเที่ยงแท้ที่จะช่วยเขาได้ แต่เราต่างจากพวกเขา เรามีทางในการได้รับการช่วยกู้ , มีพระเจ้าผู้เที่ยงแท้คอยช่วยเราและไม่ปล่อยเราทิ้ง การบ่นจึงต้องไม่ใช่วิถีชีวิตของเรา หากเราตอบสนองไม่ต่างหรือเหมือนคนต่างชาติ แล้วพระเจ้าของเราเป็นใครเล่า? *** อย่าดำเนินชีวิตเหมือนคนไม่มีพระเจ้า
3. โมเสส >> แทนที่การร้องทูลแและวิงวอนอย่างที่ผ่านๆมา ครั้งนี้เขาเหลืออดกับสิ่งที่อิสราเอลเป็น
เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ไฟของพระเจ้าลงมา (1-3) ทำให้เขาดุดันและโมโห …แต่กลับมาลงที่พระเจ้า ฝ่ายพระเจ้าทรงเข้าใจเขาทุกประการ มิได้ทรงต่อว่าโมเสสเลยสักนิด แต่ทรงมีพระคุณต่อชนชาตินี้และโมเสส โดยการแก้ปัญหาต่างๆ ให้ทดแทนในสิ่งที่เขาอึดอัด พระเจ้าต้องจัดระบบต่างๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงระบบผู้นำและการบริหาร เพื่อเห็นแก่โมเสสที่แบกรับ (ซึ่งแท้จริงมันเพียงพอต่อเขา) แต่เนื่องจากการปัดภาระที่พระเจ้าให้กับเขาในครั้งนี้ทำให้พระเจ้าต้องปรับเปลี่ยนไปจากน้ำพระทัยดั้งเดิมของพระองค์สำหรับเขาและชนชาติอิสราเอล >> หากโมเสสร้องทูลและวิงวอนอย่างที่ผ่านๆ มา สิ่งที่โมเสสจะได้รับคือ การรับรู้แผนการณ์และสิ่งที่พระเจ้าจะทำล่วงหน้า เพราะโดยปกติแล้วพระเจ้ามักบอกกับโมเสสล่วงหน้าถึงสิ่งที่พระองค์จะทรงทำทุกครั้งไป แต่ครั้งนี้พระเจ้าอดกลั้นสิ่งนั้นไว้ เพราะเหตุที่โมเสสแสดงออกมา ทำให้เขาพลาดที่จะรับรู้ว่าพระเจ้ากำลังจะทำสิ่งใดเวลาถัดไป เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพระเจ้าจะทำให้คนเหล่านั้นตายในขณะที่นกคุ่มอยู่ในปากของพวกเขาแต่ยังไม่ทันกลืนด้วยซ้ำ ครั้งนี้นอกจากโมเสสจะพลาดการรับรู้ในสิ่งที่พระเจ้าจะทำเบื้องหน้าแล้ว เขายังพลาดโอกาสในการวิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อชนอิสราเอล ทำให้คนตายมากมาย เพราะขาดผู้วิงวอนต่อรองกับพระเจ้า
A. อย่าวิ่งหรือเต้นตามกระแสรอบด้านที่เข้ามาเร่งเร้าต่อตัวเราจนทำให้เสียหลัก จุดยืนที่พระเจ้าตั้งเราไว้
B. พระเจ้าทรงเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เราเป็นเสมอ โดยเฉพาะจุดอ่อนของเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเราไม่ยอมมอบจุดอ่อนนั้นกับพระเจ้า แต่ระเบิดมันออกมา อาจทำให้เราพลาดบางสิ่งที่สมควรหรือจากน้ำพระทัยพระเจ้าเป็นได้
C. นี่เป็นการตั้งเค้าหนึ่งของโมเสส เขาไม่ได้พลาดในการตีหินครั้งเดียวแล้วพระเจ้าจัดการเขาด้วยการไม่ให้เข้าคานาอัน แต่เขาพลาดหลายๆครั้งแล้ว จนกระทั่งเวลาแห่งการพิพากษามาถึงพระองค์จึงได้จัดการ >> แสดงให้ห็นว่าพระเจ้าทรงมีพระคุณ ไม่ใช่เพราะความผิดเพียงครั้งเดียว และไม่ใช่ว่าเราจะผิดพลาดไม่ได้เลย
4. การเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าแต่เนื่องจากเพื่อจัดการความบาปของเรา >> มีระบบหลายระบบไม่ได้มาจากพระเจ้าแต่พระองค์ยินยอมให้เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากมนุษย์เองเป็นผู้เรียกร้อง
301013