อพย.15:1-21
15:1 ขณะนั้นโมเสสกับชนชาติอิสราเอลร้องเพลงบทนี้ ถวายพระเยโฮวาห์ว่า “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์ เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล
15:2 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นกำลังและเป็นบทเพลงแห่งข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้ข้าพเจ้ารอด พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกย่องสรรเสริญพระองค์
15:3 พระเยโฮวาห์ทรงเป็นนักรบ พระนามของพระองค์คือ พระเยโฮวาห์
15:4 พระองค์ทรงเหวี่ยงรถรบ และโยนพลโยธาของฟาโรห์ลงในทะเล นายทหารรถรบชั้นยอดของฟาโรห์ก็จมในทะเลแดง
15:5 น้ำท่วมเขา เขาจมลงในทะเลที่ลึกประดุจก้อนหิน
15:6 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงอานุภาพยิ่ง โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ฟาดศัตรูแหลกเป็นชิ้นๆ
15:7 ด้วยเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงคว่ำปฏิปักษ์ของพระองค์เสีย พระองค์ทรงใช้พระพิโรธของพระองค์เผาผลาญเขาเสียอย่างตอฟาง
15:8 โดยลมที่ระบายจากช่องพระนาสิกน้ำก็ท่วมสูงขึ้นไป น้ำก็ท่วมท้นสูงขึ้น น้ำก็แข็งขึ้นในท้องทะเล
15:9 พวกข้าศึกกล่าวว่า ‘เราจะติดตาม เราจะจับให้ทัน เราจะริบสิ่งของมาแบ่งปันกัน เราจึงจะพอใจที่ได้กระทำกับพวกนั้นดังประสงค์ เราจะชักดาบออก มือเราจะทำลายเขาเสีย’
15:10 พระองค์ทรงบันดาลให้ลมพัดมา น้ำทะเลก็ท่วมเขามิด เขาจมลงในกระแสน้ำอันไหลแรงนั้นเหมือนตะกั่ว
15:11 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ ในบรรดาพระทั้งปวงองค์ไหนจะเป็นเหมือนพระองค์เล่า องค์ไหนจะเหมือนพระองค์ผู้ทรงประกอบด้วยความบริสุทธิ์อันรุ่งเรือง และน่าเกรงขามเนื่องด้วยการสรรเสริญ และการมหัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ
15:12 พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออก แผ่นดินก็กลืนพวกเขาเสีย
15:13 พระองค์ทรงนำชนชาติ ซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้ด้วยพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงพาเขามาถึงที่สถิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ด้วยพระเดชานุภาพ
15:14 ชนชาติทั้งหลายจะได้ยิน แล้วจะพากันหวาดกลัว ชาวประเทศฟีลิสเตียจะรู้สึกเสียวสยอง
15:15 ครั้งนั้นพวกเจ้านายในเมืองเอโดมก็จะพากันหวาดกลัว และพวกหัวหน้าในเมืองโมอับก็จะสะทกสะท้าน ชาวเมืองคานาอันทั้งปวงก็จะระส่ำระสายไป
15:16 ความรู้สึกเสียวสยอง และความตกใจกลัวจะอุบัติขึ้นในใจของเขา เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของพระองค์ เขาจะหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ จนพลไพร่ของพระองค์ผ่านพ้นไป จนชนชาติซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วผ่านไป
15:17 พระองค์จะทรงนำเขาเข้ามา และทรงตั้งเขาไว้บนภูเขาซึ่งเป็นมรดกของพระองค์ โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้ เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์ โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า สถานบริสุทธิ์ซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์สถาปนาไว้
15:18 พระเยโฮวาห์จะทรงครอบครองอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์
15:19 เพราะเมื่อกองม้าของฟาโรห์กับราชรถ และพลม้าของท่านลงไปในทะเล พระเยโฮวาห์ก็ทรงให้น้ำทะเลไหลกลับมาท่วมเสีย แต่ชนชาติอิสราเอลเดินไปบนดินแห้งกลางทะเลนั้น”
15:20 ฝ่ายมิเรียมหญิงผู้พยากรณ์ พี่สาวของอาโรนก็ถือรำมะนา และหญิงทั้งปวงก็ถือรำมะนาเดินตาม พร้อมเต้นรำไปด้วย
15:21 มิเรียมจึงร้องนำว่า “จงร้องเพลงถวายพระเยโฮวาห์เถิด เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าให้ตกลงไปในทะเล”
บทเรียนจากบทเพลงของโมเสสและมิเรียม
1. เพราะความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าปรากฏต่อหน้าต่อตา และเป็นประสบการณ์โดยตรงพอที่จะเปลี่ยนวิถีจากความกลัว การบ่นต่อว่าเป็นคำสรรเสริญ เพราะผู้ที่สรรเสริญพระเจ้าได้ คือ ผู้ที่มีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้า แต่ผู้ที่พร่ำบ่นต่อว่า คือ ผู้ที่ไม่สามารถวางใจพระเจ้าได้ คือ ผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าของเขาอย่างแท้จริงเป็นการส่วนตัว
2. กว่าคนจะสรรเสริญและมีบทเพลงพรั่งพรูออกมาจากจิตวิญญาณจนเต้นโลดออกมาภายนอกได้ (แม้ว่าทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล) เป็นเพราะได้รับประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต จนกระทั่งจำนนต่อพระองค์ผู้สูงสุดและไม่หวั่นกลัวต่อศัตรูและสิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า หรือสิ่งที่เคยได้ยิน สิ่งที่วาดไว้ว่ามันช่างน่ากลัว มโนภาพเหล่านั้นก็หายไปเพราะประสบการณ์ตรงที่ได้รับมา
3. แท้จริงพระเจ้าปรารถนาให้เราได้เห็นพระหัตถกิจและมีประสบการณ์ตรงอันยิ่งใหญ่กับพระองค์แบบต่อหน้าต่อตา … เพียงแต่หลายครั้งเราไม่ได้เข้าใจหรือเข้าร่วมกับพระองค์ … อิสราเอลเดินทางย้อนกลับไปด้วยการนำและการเชื่อฟังของโมเสส (เนื่องจากในขณะนั้นพวกอิสราเอลไม่ได้มีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าเขาจึงมองพระเจ้าผ่านโมเสส การตัดสินใจของคนหนึ่งคน ซึ่งเป็นผู้นำ ส่งผลให้ทั้งชนชาติได้เห็นชัยชนะครั้งนี้ คือ การข้ามทะเลแดง) ทางกายภาพแล้วการเดินเลยออกมาเพื่อเร่งหนีและทิ้งระยะห่างให้ไกลจากศัตรูมากที่สุด เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่เมื่อพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เดินย้อนกลับไป เพื่อจะทำหมายสำคัญอันยิ่งใหญ่กว่าหมายสำคัญที่ผ่านมาแล้วในอียิปต์ โมเสสตัดสินใจเชื่อฟังโดยไม่คำนึงถึงผลดีผลเสีย เดินตามพระเจ้าอย่างจริงจังด้วยความเชื่อฟัง อัศจรรย์เหนืออัศจรรย์ จึงเกิดขึ้นกับมือของเขาและต่อหน้ามวลชน แม้แต่ศัตรู … แต่ถึงกระนั้นก็ตามอิสราเอลผู้ที่ไม่เข้าใจแผนการณ์น้ำพระทัยพระเจ้าได้มองดูโดยคำนึงถึงผลดีผลเสียแล้ว จึงตีอกชกตัวพร่ำบ่นกันอย่างพรั่งพรูเพราะกลัวตาย แต่สุดท้ายเขาก็ได้เห็น และมันปิดปากพวกเขาให้เงียบ และเปลี่ยนเป็นคำสรรเสริญในที่สุด ***(ชีวิตเราก็เช่นกันเรายืนจุดใด โมเสส หรือ ชนอิสราเอล)
*** แม้พระใดๆ ก็ไม่สามารถทำได้
*** สร้างความมั่นใจแทนที่ความกลัว
*** ความกล้าที่จะเดินไปต่อให้ถึงจุดหมายถูกปะทุขึ้นแทนความหวาดหวั่น
อพย.14:1-4
14:1 พระเยโฮวาห์รับสั่งแก่โมเสสว่า
14:2 “จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้ย้อนกลับไปยังค่ายหน้าตำบลปีหะหิโรท ระหว่างมิกดลและทะเล หน้าตำบลบาอัลเซโฟน แล้วตั้งค่ายตรงนั้นใกล้ทะเล
14:3 ฟาโรห์จะกล่าวถึงชนชาติอิสราเอลว่า ‘พวกเขาติดอยู่บนบก ถิ่นทุรกันดารนั้นกั้นเขาไว้แล้ว’
14:4 เราจะบันดาลให้ใจฟาโรห์แข็งกระด้างไป ฟาโรห์จะไล่ตามมา แล้วเราจะได้รับเกียรติยศเพราะฟาโรห์และบรรดาพลโยธาของเขา แล้วชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือพระเยโฮวาห์” เขาทั้งหลายก็กระทำตามรับสั่งนั้น
4. การบ่นต่อว่าโมเสสและพระเจ้าที่อิสราเอลแสดงออก
– ความหวาดกลัว >> ความไม่มั่นคงที่ยังมองไม่เห็นจุดหมายนอกเสียจากการรับรู้มาเท่านั้น มโนภาพหรือการจินตนาการถึงระหว่างทาง ศัตรูและความยากลำบากที่ต้องผ่านไป มันใหญ่โตกว่าความเชื่อที่มี ทำให้เกิดความกลัวอย่างจับใจ
– หยิ่ง >> แทนการร้องทูลเขากลับไม่ยอมรับในความอ่อนแอของตนเอง แต่กลับเรียกหาสิ่งเก่าๆ ที่เดิมๆ แม้จะย่ำแย่ แต่เขากลับมองว่าก็ยังดีกว่าต้องตายในระหว่างทางไปยังดินแดนพระสัญญา ป้อมปราการเดิมๆ ที่ก่อตัวขึ้นยังคงเป็นที่หลบภัยได้ดี สำหรับผู้ที่ไม่มีใจสู้ หมดมานะ และขาดความอดทน
– ไม่ได้รู้จักพระลักษณะแท้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เขาเดินตามเอาเสียเลย >> เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มต้นการณ์ใดๆ นั่นหมายถึง … จนเบื้องปลายในการนั้นๆ ทรงจัดเตรียมไว้จนจบแล้ว เราเพียงแค่ก้าวเดินตามไปก้าวต่อก้าว แม้อุปสรรคปัญหาที่ต้องเผชิญตรงหน้าจะใหญ่เพียงใด เราก็จะผ่านไปได้อย่างแน่นอน เพราะมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการณ์นั้นๆ หากเรารู้จักพระลักษณะนี้ของพระเจ้าแล้วเราจะรู้อีกว่าจะไม่ล้มเลิกสิ่งใดๆ กลางคันอย่างแน่นอน พระองค์ไม่นำเราแล้วล้มเลิกกลางคันเพราะบั้นปลายนั้นแน่นอน… เช่นนี้แล้วเราจึงวางใจที่จะก้าวต่อไปได้
5. ด้วยประสบการณ์เหล่านี้นี่เอง ทำให้ชนอิสราเอลเปลี่ยนมุมมองของตนเองที่มีต่อศัตรูเบื้องหลัง คือ… อียิปต์ และเบื้องหน้าคือ… ฟิลิสเตีย เอโดม โมอับ คานาอัน (14-15) และพระเจ้าพิสูจน์พระองค์แล้วว่ามนุษย์มีจิตนาการต่อศัตรูที่ยิ่งใหญ่เกินจริงและดูเหมือนพระเจ้าด้อยไปเลย ทรงทำให้มนุษย์เห็นและละอายใจว่าแท้ที่จริงพระเจ้าที่เขาควรเชื่อและวางใจ คือ พระเจ้าผู้สูงสุดแต่นามเดียวที่สร้างและกำหนดไม่เพียงชีวิตเราเองแต่ทุกสิ่งด้วยซ้ำ
220313