คนเรามักไม่ค่อยรู้จักขอบเขตของตนเองและไม่ค่อยรับผิดชอบในขอบเขตที่ตนเองสามารถแก้ไขได้
ตัวอย่างเช่น เมื่อพบเห็นปัญหาบางอย่าง มักโทษองค์รวม โดยไม่ได้มองว่าตนเองจะแก้ไขอะไรในส่วนของตนได้ จึงส่งผลให้เกิด 2 สิ่ง… คือ…
1. ไม่ทำในส่วนของตนเอง
2. พยายามจะไปแก้ส่วนใหญ่ ที่เกินขอบเขตของตน ซึ่งแทบจะไม่มีผลอะไรเลย อันเนื่องจากพลังและกำลังของตนอันแสนน้อยนิด เหตุนี้เองจึงทำให้รู้สึกบั่นทอนและหมดกำลังใจในการทำดี
หากเราแต่ละคนจัดการและกระทำสิ่งต่างๆ ในขอบเขตของตนเอง จะเป็นการยากมากๆ ที่จะทำให้เลิกราหรือเลิกล้มในการทำดี
หลายสิ่งหลายอย่างสามารถเริ่มต้นได้ ด้วยขอบเขตของตนเอง
ตัวอย่างเช่น
หากสังคมไม่ดี เราสามารถสร้างครอบครัวของเราให้อบอุ่นได้ การเริ่มต้นเช่นนี้ก็เริ่มต้นด้วยตนเองภายในขอบเขตครอบครัวของตนเอง ต่อให้สังคมจะแย่เพียงใด เราจะสามารถมีความสุขได้ท่ามกลางขอบเขตที่ตนเองสามารถรับผิดชอบ
ในทางตรงกันข้ามคนที่ไม่รู้จักขอบเขตของตน จะมัวแต่โทษสังคม โดยไม่เริ่มต้นที่จะสร้างพื้นฐานครอบครัวของตนเอง ให้ดี ให้แข็งแรง และให้ปลอดภัย ดังนั้นจึงต้องรับผลกระทบจากสังคมอย่างเต็มๆ
ในขณะเดียวกัน หากเราแต่ละคนทำในขอบเขตของตนเอง โดยการสร้างครอบครัวให้แข็งแรง ให้อบอุ่น ทุกครอบครัวทำเช่นนี้ องค์รวมจะถูกเปลี่ยนเอง สังคมจะถูกเปลี่ยนเอง
วันนี้เราได้ทำส่วนของตนเองหรือยัง? ได้ทำในขอบเขตของตนเองมากน้อยสักเพียงใด?
หรือเพียงแค่ พยายามจะทำในสิ่งที่ไม่ใช่ขอบเขตของตนเอง?
หรือปล่อยผ่าน ไม่ทำเลยสักสิ่งเดียว?
คริสเตียนก็เช่นกันเราอาจไม่สามารถเปลี่ยนโลกทั้งโลกนี้ได้ หากพระเจ้าไม่ได้ใช้เราให้เป็นคนยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่เราสามารถจัดการและสร้างในส่วนที่เป็นขอบเขตของตนเอง ใช้ชีวิตของตนเอง สร้างครอบครัวของตนเอง สร้างชุมชนของตนเอง สร้างคริสตจักรของตนเอง ในขอบเขตที่ได้รับมอบหมายของแต่ละคนตามการทรงเรียก หากเราแต่ละคนยืนอยู่ในขอบเขตของตนเองตามที่พระเจ้าเรียกจะไม่มีส่วนใดเลยสักส่วนหนึ่งที่ขาดซึ่งความสมบูรณ์และในทุกๆ ส่วน ในทุกๆ รายละเอียด จะพบกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวในขอบเขตของตน
ข้อควรระวังสำหรับคริสเตียน หลายครั้งมักไม่ทำในขอบเขตของตนเอง แต่กลับลุกล้ำขอบเขตของผู้อื่น
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะตอบสนอง ในสิ่งที่พระเจ้าเรียกร้องตนเอง กับมัวแต่นั่งมองดูคนอื่นว่าเขาตอบสนองอย่างไร? ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น? ทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้?… ใช้เวลากับการสำรวจผู้อื่นมากกว่าสำรวจตนเอง ใช้เวลาในการพัฒนาผู้อื่นมากกว่าพัฒนาตนเอง ซึ่งหลงลืมไปอย่างหนึ่งว่า … เราแต่ละคนต้องรับผิดชอบชีวิตของตนเอง เราแต่ละคนต้องยืนรายงานตนเองต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีใครรายงานแทนใครได้ แม้แต่ผู้นำก็ต้องรายงานในส่วนของตนเอง ไม่ใช่รายงานในส่วนของผู้อื่น
ฮีบรู 4:13 ไม่มีสิ่งทรงสร้างใดใดถูกปิดซ่อนไว้จากพระองค์ แต่ตรงกันข้าม ทุกสิ่งก็ปรากฏแจ้งต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราจะต้องถวายรายงานด้วย
ฮีบรู 13:17 จงนบนอบเชื่อฟังบรรดาผู้นำของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพวกเขาดูแลรักษาจิตวิญญาณของพวกท่านอยู่อย่างคนที่ต้องถวายรายงาน จงให้พวกเขาทำงานนี้ด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์แก่พวกท่านเลย
ตัวอย่างบุคคลในพระคัมภีร์
เอสเธอร์ >> ทำส่วนของตนเองต่อหน้าฟาโรห์ในขอบเขตของตน ในขณะที่ชนชาวอิสราเอลทำขอบเขตของพวกเขาด้วยการอธิษฐานเพื่อเอสเธอร์ สำหรับการต่อรองกับฟาโรห์ เพื่อพวกเขาเอง…
จากตอนนี้… จะเห็นได้ว่ากระบวนการที่พระเจ้าทำงานในเราแต่ละคนนั้น บรรจบอย่างลงตัวพอดี เมื่อนำมารวมกัน และนี่คือการสร้างของพระเจ้าในตัวเราแต่ละคน ไม่ว่าเราจะยืนอยู่ตรงจุดใดก็ตาม ขอบเขตของเรา ก็มีผลต่อพระพรที่จะมาถึงชีวิตของเราอย่างแน่นอน ไม่มีจุดใดน้อยกว่า หรือ ด้อยกว่า จุดใด
เอสเธอร์ 4:1-17
1 เมื่อโมรเดคัยทราบทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว โมรเดคัยก็ฉีกเสื้อผ้าของตน สวมผ้ากระสอบและซัดขี้เถ้าใส่ศีรษะของตน และออกไปร้องไห้เสียงดังอย่างขมขื่นที่กลางเมือง
2 ท่านขึ้นไปอยู่ตรงทางเข้าประตูพระราชวัง เพราะผู้ที่สวมผ้ากระสอบจะเข้าประตูพระราชวังไม่ได้
3 และในทุกมณฑลที่พระบัญชาของกษัตริย์และกฤษฎีกาของพระองค์ไปถึง ก็มีความเศร้าโศกอย่างยิ่งท่ามกลางพวกยิว และมีการอดอาหาร การร้องไห้และคร่ำครวญ อีกทั้งหลายคนนอนบนผ้ากระสอบและขี้เถ้า
4 เมื่อนางกำนัลและขันทีของพระนางเอสเธอร์มาทูลพระนาง พระราชินีก็ทรงเป็นทุกข์ยิ่งนัก พระนางทรงส่งเสื้อผ้าไปให้แก่โมรเดคัย เพื่อท่านจะได้ถอดผ้ากระสอบออกเสีย แต่ท่านไม่ยอมรับผ้านั้น
5 แล้วพระนางเอสเธอร์มีรับสั่งเรียกฮาธาค (ขันทีคนหนึ่งของกษัตริย์ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ปรนนิบัติพระนาง) ให้ไปหาโมรเดคัยเพื่อจะทรงทราบว่า เกิดเรื่องอะไร และทำไมทำอย่างนั้น
6 ฮาธาคก็ออกไปหาโมรเดคัยที่ลานกว้างในเมือง หน้าประตูพระราชวัง
7 โมรเดคัยก็เล่าเรื่องทั้งสิ้นที่เกิดกับท่าน และจำนวนเงินที่ฮามานได้สัญญาถวายเข้าพระคลังหลวงเพื่อทำลายพวกยิว
8 โมรเดคัยยังได้ให้สำเนาบันทึกกฤษฎีกาที่ออกในสุสา สั่งให้ทำลายพวกเขา เพื่อให้ฮาธาคนำไปแสดงต่อพระนางเอสเธอร์ และอธิบายเรื่องราวต่อพระนาง พร้อมกับกำชับให้พระนางเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลอ้อนวอนพระองค์ และวิงวอนพระองค์เพื่อชนชาติของพระนาง
9 ฮาธาคก็กลับไปทูลพระนางเอสเธอร์ ถึงสิ่งที่โมรเดคัยได้บอกนั้น
10 แล้วพระนางเอสเธอร์ก็รับสั่งฮาธาคให้ส่งข่าวถึงโมรเดคัยว่า
11 “ข้าราชการทั้งสิ้นของกษัตริย์ และประชาชนในมณฑลของกษัตริย์ทราบอยู่ว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดเข้าเฝ้ากษัตริย์ภายในพระลานชั้นในโดยไม่ได้ทรงเรียก ก็มีกฎหมายอยู่ข้อเดียวเหมือนกันหมด คือให้ลงโทษถึงตาย เว้นแต่ผู้ซึ่งกษัตริย์ยื่นพระคทาสุวรรณออกรับ คนนั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ส่วนฉันเอง กษัตริย์ก็ไม่ได้ตรัสเรียกให้เข้าเฝ้ามาสามสิบวันแล้ว”
12 เขาทั้งหลายก็มาบอกโมรเดคัยถึงสิ่งที่พระนางเอสเธอร์ตรัสนั้น
13 โมรเดคัยจึงบอกเขาให้กลับไปทูลตอบพระนางเอสเธอร์ว่า “อย่าคิดว่าเธออยู่ในพระราชวังแล้วจะรอดพ้นได้ดีกว่าพวกยิวอื่นๆ
14 เพราะถ้าเธอเงียบอยู่ในเวลานี้ ความช่วยเหลือและการช่วยกู้จะมาถึงพวกยิวจากที่อื่น แต่เธอและครัวเรือนบิดาของเธอจะพินาศ ที่จริงเธอมารับตำแหน่งราชินีก็เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้ก็เป็นได้นะ ใครจะรู้”
15 แล้วเอสเธอร์ตรัสกับเขาให้ไปบอกโมรเดคัยว่า
16 “ไปเถิด ให้รวบรวมพวกยิวทั้งสิ้นที่หาพบในสุสา และถืออดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทานและอย่าดื่มเป็นเวลาสามวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ฉันและสาวใช้ของฉันจะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะเข้าเฝ้ากษัตริย์แม้ว่าเป็นการฝืนกฎ ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ”
17 โมรเดคัยก็ไปทำทุกอย่างตามที่พระนางเอสเธอร์รับสั่งแก่ท่าน
เอสเธอร์ 5:1-8
1 เมื่อถึงวันที่สาม พระนางเอสเธอร์ก็ทรงเครื่องทรงราชินี และทรงยืนในลานชั้นในของพระราชวังตรงข้ามกับท้องพระโรง กษัตริย์ประทับบนราชบัลลังก์ภายในพระราชสำนักตรงข้ามทางเข้าพระราชวัง
2 เมื่อกษัตริย์ทอดพระเนตรเห็นพระราชินีเอสเธอร์ยืนอยู่ในพระลาน พระนางเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ กษัตริย์จึงยื่นพระคทาสุวรรณซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แก่พระนางเอสเธอร์ พระนางเอสเธอร์ก็เสด็จเข้ามาแตะยอดพระคทา
3 กษัตริย์ตรัสกับพระนางว่า “ราชินีเอสเธอร์ มีเรื่องอะไรหรือ? เธอต้องการอะไร? ก็จะให้เธอได้ถึงครึ่งราชอาณาจักร”
4 และพระนางเอสเธอร์ทูลว่า “ถ้าเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ ขอกษัตริย์เสด็จมาพร้อมกับฮามานในวันนี้ เพื่อเสวยอาหารที่หม่อมฉันเตรียมไว้ถวายพระองค์ท่าน”
5 กษัตริย์จึงตรัสว่า “จงรีบไปพาฮามานมา เพื่อจะได้ทำตามที่พระนางเอสเธอร์ปรารถนา” กษัตริย์จึงเสด็จไปในงานเลี้ยงของพระนางเอสเธอร์พร้อมกับฮามาน
6 ขณะเสวยเหล้าองุ่นอยู่ กษัตริย์ตรัสกับพระนางเอสเธอร์ว่า “เธอจะร้องขออะไร? เราจะให้ เธอจะทูลขออะไร? แม้ถึงครึ่งราชอาณาจักรก็จะได้”
7 พระนางเอสเธอร์ทูลว่า “คำร้องขอของหม่อมฉันและคำทูลขอของหม่อมฉัน
8 คือถ้าหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ และเป็นที่พอพระทัยกษัตริย์ที่จะประทานตามคำร้องขอของหม่อมฉัน และทรงทำตามคำทูลขอของหม่อมฉัน พรุ่งนี้ขอกษัตริย์เสด็จมายังงานเลี้ยงของหม่อมฉันพร้อมกับฮามาน และหม่อมฉันจะทำตามที่กษัตริย์ตรัสนั้น”
เนหะมีย์ >> การสร้าง / ซ่อมกำแพง มีการกำหนดขอบเขตของแต่ละคน ของแต่ละจุด ไม่มีใครก้าวข้ามไปทำขอบเขตของคนอื่น เพียงแค่รับผิดชอบในขอบเขตของตนเองก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อนำเอาขอบเขตของทุกคนมาต่อกัน กำแพงใหญ่โตถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ จะเห็นได้ว่าเป็นแบบอย่างของการทำขอบเขตของตนเองอย่างเต็มที่ พระเจ้าไม่ได้เรียกเราให้ข้ามเขตของผู้อื่น พระเจ้าไม่ได้เรียกให้เรารับผิดชอบในเขตของผู้อื่น แค่ทำในขอบเขตของตนเองให้สมบูรณ์ ให้ดี ไม่ให้มีช่องโหว่ มันก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงองค์รวมได้แล้ว
เนหะมีย์ 3:1-32
1 แล้วเอลียาชีบมหาปุโรหิตลุกขึ้นพร้อมกับพี่น้องของท่านซึ่งเป็นปุโรหิต พวกเขาได้สร้างประตูแกะ และได้ชำระให้บริสุทธิ์และได้ตั้งบานประตู พวกเขาได้ทำพิธีชำระกำแพงให้บริสุทธิ์ จนถึงหอคอยศตพลไกลไปจนถึงหอคอยฮานันเอล
2 และถัดท่านไป คนเยรีโคเป็นผู้สร้าง และถัดพวกเขาไป ศักเกอร์บุตรอิมรีเป็นผู้สร้าง
3 และบุตรหลานของหัสเสนาอาห์ ได้สร้างประตูปลา เขาได้วางวงกบและได้ตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
4 ถัดพวกเขาไป เมเรโมทบุตรอุรียาห์ผู้เป็นบุตรฮักโขสได้ซ่อมแซม และถัดพวกเขาไป เมชุลลามบุตรเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรเมเชซาเบลได้ซ่อมแซม และถัดพวกเขาไป ศาโดกบุตรบาอานาได้ซ่อมแซม
5 และถัดพวกเขาไป ชาวเทโคอาได้ซ่อมแซม แต่พวกขุนนางของเขาไม่เต็มใจทำงานภายใต้พวกนายงานของเขา
6 และโยยาดาบุตรปาเสอาห์ และเมชุลลามบุตรเบโสไดอาห์ได้ซ่อมแซมประตูเก่า พวกเขาวางวงกบและตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
7 และถัดพวกเขาไปคนที่ซ่อมแซมคือ เมลาติยาห์ชาวกิเบโอนและยาโดนชาวเมโรโนท คนเมืองกิเบโอนและเมืองมิสปาห์ ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของเจ้าเมืองฟากตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส
8 ถัดพวกเขาไปคือ อุสซีเอลบุตรฮารฮายาห์พวกช่างทองได้ซ่อมแซม ถัดเขาไปคือ ฮานันยาห์คนหนึ่งในพวกผู้ปรุงเครื่องหอมได้ซ่อมแซม พวกเขาบูรณะเยรูซาเล็มไกลไปจนถึงกำแพงกว้าง
9 ถัดพวกเขาไปคือ เรไฟยาห์บุตรเฮอร์ ผู้ปกครองแขวงครึ่งหนึ่งของเยรูซาเล็มได้ซ่อมแซม
10 ถัดพวกเขาไปคือ เยดายาห์บุตรฮารุมัฟได้ซ่อมแซมตรงข้ามกับบ้านของเขา และถัดเขาไปคือ ฮัทธัชบุตรฮาชับเนยาห์ได้ซ่อมแซม
11 มัลคิยาห์บุตรฮาริม และหัสชูบบุตรปาหัทโมอับได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง และหอคอยเตาอบ
12 ถัดเขาไปคือ ชัลลูมบุตรฮัลโลเหช ผู้ปกครองแขวงครึ่งหนึ่งของเยรูซาเล็มได้ซ่อมแซม ทั้งตัวเขาและพวกบุตรหญิงของเขา
13 ฮานูนและชาวเมืองศาโนอาห์ได้ซ่อมแซมประตูหุบเขา พวกเขาสร้างประตูขึ้นใหม่และตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู และซ่อมแซมกำแพงระยะ 440 เมตรไกลไปจนถึงประตูกองขยะ
14 มัลคิยาห์บุตรเรคาบ ผู้ปกครองแขวงเบธฮัคเคเรม ได้ซ่อมประตูกองขยะ เขาสร้าง และตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู
15 ชัลลูมบุตรคลโฮเซห์ ผู้ปกครองแขวงมิสปาห์ได้ซ่อมแซมประตูน้ำพุ เขาได้สร้างและมุงหลังคา และตั้งบานประตู ติดลูกสลักและดาลประตู เขาได้สร้างกำแพงสระเชลาห์ถึงราชอุทยานไกลไปจนถึงบันไดซึ่งทอดลงไปจากนครดาวิด
16 ถัดเขาไป เนหะมีย์บุตรอัสบูก ผู้ปกครองแขวงเบธซูร์ครึ่งหนึ่งได้ซ่อมแซมไปจนถึงที่ตรงข้ามกับอุโมงค์ฝังศพของดาวิด ถึงสระขุดและถึงค่ายทหาร
17 ถัดเขาไป คนเลวีได้ซ่อมแซม คือ เรฮูมบุตรบานี ถัดเขาไปคือ ฮาชานิยาห์ ผู้ปกครองแขวงเคอีลาห์ครึ่งหนึ่งได้ซ่อมแซมส่วนของเขา
18 ถัดเขาไป พี่น้องของพวกเขาได้ซ่อมแซม คือบินนุยบุตรเฮนาดัด ผู้ปกครองแขวงเคอีลาห์ครึ่งหนึ่ง
19 ถัดเขาไปคือ เอเซอร์บุตรเยชูอา ผู้ปกครองเมืองมิสปาห์ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ตรงข้ามกับทางขึ้นไปยังคลังอาวุธตรงหัวมุมกำแพง
20 ถัดเขาไปคือ บารุคบุตรศับบัยได้ซ่อมแซมอย่างร้อนใจอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่หัวมุมกำแพงจนถึงประตูบ้านของเอลียาชีบมหาปุโรหิต
21 ถัดเขาไปคือ เมเรโมทบุตรอุรียาห์ ผู้เป็นบุตรฮักโขส ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งตั้งแต่ประตูบ้านของเอลียาชีบถึงท้ายบ้านของเอลียาชีบ
22 ถัดเขาไปคือ บรรดาปุโรหิตผู้ที่อยู่รอบๆ ได้ซ่อมแซม
23 ถัดพวกเขาไปคือ เบนยามิน และหัสชูบได้ซ่อมแซมตรงข้ามกับบ้านของพวกเขา ถัดพวกเขาไปอาซาริยาห์บุตรมาอาเสอาห์ผู้เป็นบุตรอานานิยาห์ได้ซ่อมแซมข้างบ้านของเขาเอง
24 ถัดเขาไปคือ บินนุยบุตรเฮนาดัดได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ตั้งแต่บ้านของอาซาริยาห์ถึงหัวมุมกำแพง
25 ปาลาลบุตรอุซัยได้ซ่อมแซมที่ตรงข้ามกับหัวมุม และหอคอยที่ยื่นจากพระราชวังชั้นบนที่ลานทหารรักษาพระองค์ ถัดเขาไปคือ เปดายาห์บุตรปาโรช
26 และบ่าวไพร่ประจำพระวิหารซึ่งอยู่ที่โอเฟล ได้ซ่อมแซมไปจนถึงที่ตรงข้ามกับประตูน้ำทางด้านตะวันออกและหอคอยที่ยื่นออกไป
27 ถัดเขาไป ชาวเทโคอา ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่งตรงข้ามกับหอคอยใหญ่ที่ยื่นออกไปไกลไปจนถึงกำแพงของโอเฟล
28 บรรดาปุโรหิตได้ซ่อมแซมเหนือประตูม้าขึ้นไป ต่างก็ซ่อมที่ตรงข้ามกับบ้านของตน
29 ถัดพวกเขาไป ศาโดกบุตรอิมเมอร์ ได้ซ่อมแซมที่ตรงข้ามกับบ้านของเขา ถัดเขาไป เชไมอาห์ บุตรเชคานิยาห์ คนเฝ้าประตูตะวันออกได้ซ่อมแซม
30 ถัดเขาไป ฮานันยาห์บุตรเชเลมิยาห์ และฮานูนบุตรคนที่หกของศาลาฟ ได้ซ่อมแซมอีกส่วนหนึ่ง ถัดเขาไปคือ เมชุลลามบุตรเบเรคิยาห์ได้ซ่อมแซมตรงข้ามกับห้องของเขา
31 ถัดเขาไป มัลคิยาห์ช่างทองคนหนึ่งได้ซ่อมแซมไกลไปจนถึงบ้านของบ่าวไพร่ประจำพระวิหารและของพ่อค้า ตรงข้ามกับประตูตรวจพลจนถึงห้องชั้นบนตรงหัวมุม
32 และระหว่างห้องชั้นบนตรงหัวมุมกับประตูแกะนั้น บรรดาช่างทองและพ่อค้าได้ซ่อมแซม
อับราฮัม >> รับผิดชอบขอบเขตของตนเอง ในการเดินกับพระเจ้า ใช้ชีวิตกับพระเจ้า ด้วยการดูแลฝูงสัตว์ ดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี ใช้เวลากับพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ… แต่อยู่มาวันหนึ่งต้องออกไปทำสงครามกับพวกขโมยและโจรที่เข้ามารุกล้ำครอบครัวของเขา ณ ตอนนั้นขอบเขตของอับราฮัมถูกขยายออกเป็นที่ยอมรับของชนชาตินั้นและเมืองที่อยู่ใกล้เคียง
… เป็นไปได้ที่พระเจ้าจะขยายขอบเขตในบางช่วงเวลา หรือขยายขอบเขตชีวิตออกไปอีกขั้นหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ยังคงหลักการเดิม คือ รับผิดชอบในขอบเขตของตนเองที่พระเจ้าเรียกร้อง ค่อยๆ ก้าวไป หากมีการขยายขอบเขตชีวิตของเรา ก็พรักพร้อมที่จะก้าวต่อไป ในระหว่างวันเวลาแห่งความสัตย์ซื่อนั่นคือเวลาที่พระเจ้าสร้างฐานชีวิตเพื่อขอบเขตที่กว้างขึ้น
ปฐก.14:13-20
13 มีคนหนึ่งหนีมาจากที่รบนั้นบอกให้อับรามคนฮีบรูรู้ อับรามอาศัยอยู่ที่หมู่ต้นโอ๊กของมัมเรคนอาโมไรต์ พี่น้องของเอชโคล์และอาเนอร์ คนเหล่านี้เป็นพันธมิตรของอับราม
14 เมื่ออับรามได้ยินว่าญาติของท่านถูกจับไป จึงนำคนชำนาญศึกที่เกิดในบ้านของท่าน 318 คนไล่ตามไปถึงเมืองดาน
15 อับรามจึงแบ่งคนเข้าต่อสู้พวกข้าศึกในเวลากลางคืน ทั้งท่านและพวกคนใช้ของท่านโจมตีพวกข้าศึก และไล่ตามพวกเขาไปถึงโฮบาห์เหนือดามัสกัส
16 แล้วท่านนำข้าวของทั้งหมดกลับคืนมา และนำโลทญาติของท่านกลับมา พร้อมกับข้าวของของเขา รวมทั้งบรรดาผู้หญิงและประชาชนด้วย
17 เมื่ออับรามกลับจากการรบชนะกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์และกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ด้วยกันแล้ว กษัตริย์เมืองโสโดมก็มาพบอับรามที่หุบเขาชาเวห์(คือหุบเขาของกษัตริย์)
18 เมลคีเซเดคผู้เป็นทั้งกษัตริย์ซาเลมและปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ก็นำขนมปังกับเหล้าองุ่นมาให้
19 แล้วอวยพรท่าน กล่าวว่า
“ขอให้อับรามรับพรจากพระเจ้าผู้สูงสุด
ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
20 ขอพระเกียรติเป็นของพระเจ้าผู้สูงสุด
ผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในมือของท่าน”
อับรามก็มอบหนึ่งในสิบจากข้าวของทั้งหมดนั้นถวายแก่กษัตริย์เมลคีเซเดค
ขอบเขตของตนในการทำดี
1. ไม่ว่าเราจะมีขอบเขตชีวิตด้านใดก็ตาม จงทำส่วนนั้นอย่างเต็มที่ เช่น …
• หากเป็นลูกน้องก็จงทำอย่างสัตย์ซื่อและเต็มที่ให้สมกับค่าจ้าง และสมกับคุณค่าของงานที่ทำและรับผิดชอบ
• หากเป็นเจ้านายก็จงทำอย่างสัตย์ซื่อและเต็มที่ เพื่อบริหารงาน รายรับ รายจ่าย และดูแลองค์กรอย่างเต็มที่ โดยไม่เอาเปรียบฝ่ายใด
• หากเป็นสมาชิก (ทั้งในบ้าน คริสตจักร องค์กร สังคม และ ประเทศชาติ) ก็จงทำอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุน หากเป็นผู้นำก็จงทำอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนสมาชิกด้วยเช่นกัน
2. การรู้และตระหนักในขอบเขตของตนเอง ย่อมส่งผลให้เกิดพระพรแก่ตนเอง แม้ว่าองค์รวมหรือขอบเขตที่ไม่ใช่ของตนจะไม่เอื้ออำนวย แต่อย่างน้อยที่สุดในขอบเขตของตนเองจะปลอดภัยและได้รับพระพรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
3. อย่ามัวแต่โทษโน่นโทษนี่ จนไม่ได้เริ่มต้นในขอบเขตของตนเองสักที เพราะว่าคนที่ไม่ได้ดูแลขอบเขตของตนเอง ไม่ได้รับผิดชอบขอบเขตของตนเอง ย่อมหาความปลอดภัยและพระพรในส่วนของตนไม่ได้ด้วยเช่นกัน
4. หลายสิ่งหลายอย่างอาจไม่เป็นไปตามอย่างที่เราคิดและคาดหวังไว้ แต่อย่างน้อยที่สุด ขอให้สิ่งที่เป็นขอบเขตของตนเอง ไม่ว่าจะครอบครัว การงาน การเงิน คนที่รัก สุขภาพร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ความคิด อยู่ในแหล่งแห่งพระพรและความสุขก็เพียงพอ อย่างน้อยที่สุดผลกระทบเชิงลบจะเป็นเพียงแค่องค์ประกอบภายนอกที่เราไม่อาจควบคุมได้ แต่องค์ประกอบภายใน เต็มเปี่ยมไปด้วยสันติสุข ความสุขและพระพร ที่เรียกว่า “แตกต่างอย่างสิ้นเชิง”
5. อย่าเมื่อยล้าหรือท้อใจในการทำดี แม้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงองค์รวมได้ทั้งหมด หรือเปลี่ยนโลกได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุดจะเป็นการสร้างขอบเขตที่ตนเองสามารถทำได้ ให้สวยงาม ให้งดงามและน่าอยู่ เพียงเท่านี้ชีวิตก็เป็นสุขมากขึ้นอีกเป็นกอง
2016-04-23